Computer , Program , TV online , Radio Online , Entertainment , Joke , Football online , Fashion , News | Football Schedules | Free Sport Stream | Live Footy | Live Football | Football Premier League | BundesLiga | LFP | EPL | CL | SPL | Seria A | Euro 2008
เขียนโดย sp ที่ 10:18
เขียนโดย sp ที่ 04:19
Imeem Imeem is closing? Source says imeem is loosing money and is closing down service!
ขอขอบคุณข้อมูลจาก น้องซี >> http://www.ceemeagain.com <<
เขียนโดย sp ที่ 04:14
กาฬโรคปอด
หลังจากมีข่าวว่า พบผู้เสียชีวิตด้วย โรคกาฬโรคปอด หรือ กาฬโรคปอด ที่เมืองซิเข่อตัน มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน จนทางการท้องถิ่นต้องประกาศปิดเมืองซิเข่อตัน เพื่อฆ่าเชื้อ กาฬโรคปอด และป้องกัน กาฬโรคปอด ระบาด พร้อมกักบริเวณประชาชนไว้กว่า 1 หมื่นคน เพื่อดูอาการเนื่องจาก กาฬโรคปอด เป็นโรคที่อันตรายอย่างมาก เพราะเป็น 1 ใน 5 โรคติดต่อร้ายแรง (อหิวาห์ ไข้ทรพิษ กาฬโรค ไข้เหลือง และซาร์ส)
นอกจากนี้ ทางองค์การอนามัยโลก ยังได้ออกมาเตือนว่า กาฬโรคปอด ที่พบในจีนเป็นเชื้อชนิดเดียวกับ "กาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ" ที่เคยคร่าชีวิตชาวยุโรปมาแล้วกว่า 25 ล้านคน งานนี้จึงทำให้หลายคนอยากรู้จัก กาฬโรคปอด ว่าคือโรคอะไร มีอาการอย่างไร วันนี้กระปุกจึงเรื่องราวของ กาฬโรคปอด มาฝากกันค่ะ
กาฬโรค มีลักษณะอาการแบ่งได้ใหญ่ 3 ลักษณะ คือ กาฬโรคของต่อมน้ำเหลือง (Bubonic Plague), กาฬโรคชนิดโลหิตเป็นพิษ (Septicemic Plague) และ กาฬโรคปอด (Pneumonic Plague) ซึ่ง กาฬโรคปอด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบซิลไล Yersinia pestis อาจเป็นอาการแทรกซ้อนของกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก
อาการของ กาฬโรคปอด
ผู้ป่วย กาฬโรคปอด จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตัว หอบ เหนื่อยง่าย จากนั้นประมาณ 20-24 ชั่วโมง จะมีอาการทางปอดเริ่มขึ้น คือ ไอถี่ขึ้น เสมหะที่ตอนแรกจะมีลักษณะเหนียวใส จากนั้นจะกลายเป็นสีสนิม หรือแดงสด หากไม่รักษาจะเสียชีวิตภายใน 24-48 ชั่วโมง มักไม่มีปื้นแผลในปอด
การติดต่อของ กาฬโรคปอด
กาฬโรคปอด ถือเป็นกาฬโรคที่อันตรายที่สุด มีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 วัน สามารถติดต่อได้ โดยมีหนูหรือหมัดหนูเป็นพาหะ หรือสัมผัสสิ่งของที่เพิ่งปนเปื้อนเชื้อโรคใหม่ๆ โดยเชื้อ กาฬโรคปอด สามารถแพร่กระจายทางอากาศ และสามารถติดต่อระหว่างคนได้ง่ายผ่านการไอ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็น กาฬโรคปอด มีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 60 หากไม่รีบรักษา สามารถเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังติดเชื้อ แต่หากวินิจฉัยโรคได้เร็ว และได้รับยารักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้เกือบร้อยละ 15 แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน และปริมาณเชื้อที่ได้รับด้วย
การควบคุมการติดต่อของ กาฬโรคปอด
การจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด ได้ ต้องคัดแยกผู้ป่วย กาฬโรคปอด และกักตัวผู้ป่วยอย่างเข้มงวด หรือหากพบผู้สงสัยว่าเป็น กาฬโรคปอด ให้แยกออกมากักตัวไว้ 7 วัน นอกจากนี้ยังต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อจะได้รายงานต่อองค์การอนามัยโลก เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้ กาฬโรคปอด เป็นโรคที่ต้องรายงานตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ
ประวัติการแพร่ระบาดของกาฬโรคในอดีต
ในอดีต โรคกาฬโรค มีการระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้น 3 ครั้ง คือ
การระบาดของ ครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษ ที่ 3 เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า Plague of justinian โดยเริ่มระบาดจากประเทศอียิปต์ไปสู่ทวีปยุโรป โดยเฉพาะที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ทำให้มีคนเสียชีวิต ถึงวันละหมื่นคน และมีการระบาดติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 50 ปี ทำให้มีคนเสียชีวิตหลายล้านคน
การระบาดครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในคริสต์ศวรรษที่ 14 เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า The Black Death (กาฬมรณะ) โดยการระบาดเริ่มต้นจากทางตอนใต้ของประเทศอินเดียและจีน ผ่านประเทศอียิปต์เข้าสู่ประเทศยุโรป จนมีการระบาดในอิตาลี เมื่อปี พ.ศ.1889 เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า "Great Mortality" และมีการระบาดเป็นระยะ ตลอดคริสต์วรรษที่ 15, 16, 17 ก่อนที่ในปี พ.ศ.2208 จะเกิดการระบาดใหญ่ที่กรุงลอนดอน ทำให้มีคนตายเป็นจำนวนกว่า 60,000 คน จากประชากร 450,000 คน เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า The Great Plague of London การระบาดในยุโรปครั้งนั้น ส่งผลให้มีประชากรประมาณ 25 ล้านคน ต้องตายด้วยโรคนี้
การระบาดครั้งที่ 3 เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกปี พ.ศ.2439 โดยมีการระบาดเข้าสู่สิงค์โปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ ฮาไวอี อารเบีย เปอร์เชีย เตอร์กี อียิปต์ และแอฟริกาตะวันตกเข้ารัสเชีย และในทวีปยุโรป ก่อนเข้าสู่อเมริกาเหนือและเม็กซิโก โดยมีรายงานระหว่างปี พ.ศ.2443-2444 ว่า กาฬโรคได้คร่าชีวิตคนในภาคตะวันออกของจีน ประมาณ 60,000 คน และในปี พ.ศ.2453-2454 ที่แมนจูเรีย มีคนเสียชีวิตประมาณ 10,000 คน จากนั้น ต่อมายังมีรายงานการระบาดของ กาฬโรคปอด ที่รัฐแคลิฟอเนียและประเทศรัสเซียอีกด้วย
การระบาดของกาฬโรคในประเทศไทย
สำหรับการระบาดของกาฬโรคในประเทศไทยนั้น นายแพทย์ เอช แคมเบล ไฮเอ็ด เจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล (Principal Medical Officer of Bangkok City) ได้รายงานการระบาดของกาฬโรคครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2447 ที่บริเวณตึกแดงและตึกขาว ซึ่งเป็นโกดังเก็บสินค้า ในจังหวัดธนบุรี และเป็นที่อยู่ของพ่อค้าชาวอินเดีย ก่อนที่จะระบาดมายังฝั่งพระนคร และกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่มีการติดต่อค้าขายกับกรุงเทพฯ โดยทางบก ทางเรือและทางรถไฟ แต่ครั้งนั้นไม่ได้เก็บสถิติจำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่แน่นอน
จากนั้น ในปี พ.ศ.2456 ได้มีรายงานปรากฏว่า กาฬโรคได้คร่าชีวิตชาวนครปฐมไป 300 คน ก่อนที่จะมีการระบาดอีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้าย ในปี พ.ศ.2495 ซึ่งครั้งนั้น มีรายงานพบผู้ป่วยกาฬโรค 2 ราย เสียชีวิต 1 ราย ที่ตลาดตาคลี จนถึงปัจจุบันผ่านมา 57 ปีแล้ว ยังไม่มีรายงานว่ามีการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด ในประเทศไทย
การรักษา กาฬโรคปอด
กาฬโรคปอด สามารถรักษาได้ด้วยการทานยาปฏิชีวนะ เช่น สเตรปโตมัยซิน ( streptomycin), เตตระซัยคลิน (tetracycline) หรือ คลอแรมเฟนิคอล (chloramphenicol) เป็นเวลา 7 วัน
การป้องกันการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด
1.สำรวจหนูและหมัดหนู โดยการควบคุมและกำจัดหนูในโรงเรือน และเรือสินค้ากำจัดหมัดหนูโดยใช้ยาฆ่าแมลง และป้องกันไม่ให้มีหนูมากัด
2.อย่าไปสัมผัสกับสัตว์กัดแทะที่ป่วยตาย เช่น หนู กระรอก ถ้าจะจับไปทิ้งต้องสวมถุงมือ
3.ให้คำแนะนำเรื่องสุขศึกษาให้กับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้รู้วิธีป้องกันโรค กาฬโรคปอด และหากมีอาการสงสัยว่า ป่วยเป็น กาฬโรคปอด ให้เข้ารับการตรวจรักษาโดยเร็ว
4.มีมาตรการควบคุมระหว่างประเทศ
5.ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชนแออัด และทำความสะอาดชุมชนแออัดให้ดีขึ้น
6.ผู้ที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย กาฬโรคปอด ควรกินยาเตตระซัยคลินสำหรับป้องกัน และใช้ถุงมือ ผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด
7.ให้วัคซีนแก่ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค ซึ่งจะช่วยลดอัตราป่วยด้วยโรคนี้ได้มาก
อย่างไรก็ตาม แม้ข่าวการระบาดของ กาฬโรคปอด จะดูไกลตัวสำหรับชาวไทย แต่เราก็ไม่ควรประมาท เพราะ โรคกาฬโรคปอด สามารถติดต่อได้โดยการแพร่กระจายทางอากาศ ดังนั้นป้องกันตัวเองไว้ดีที่สุดค่ะ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กาฬโรคปอด ระบาดจีนผวาหนัก (เดลินิวส์)
ดับแล้ว 3 สั่งปิดเมืองป่วยอีก 10 รายที่มณฑลชิงไห่ รับเชื้อร้ายถึงตายได้ใน 24 ชั่วโมง ยุโรปเคยเสียชีวิต 25 ล้านคน
รัฐบาลจีนสั่งปิดทั้งเมืองเพื่อกักกันโรค และป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคกาฬโรคปอด ซึ่งคร่าชีวิตผู้ป่วยไปแล้ว 3 ศพ แถมยังติดเชื้ออีก 10 คน ในเมืองจื่อเคอถาน มณฑลชิงไห่ ขณะที่องค์การอนามัยโลกก็ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสาธารณสุขแดนมังกร ระบุเป็นเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกับกาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่ทำคนตายมาแล้วในยุโรปถึง 25 ล้านคน เผยติดเชื้อตายได้ใน 24 ชั่วโมง
"วิทยา" เตือนประชาชนอย่าตื่นตระหนก กาฬโรคปอด ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุ โรคนี้เกิดจากสัตว์ กลุ่มฟันแทะ ระบาดง่ายแพร่สู่คนได้ทางอากาศ
สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงปักกิ่งประเทศ จีนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ว่า สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตรายที่ 2 เป็นชายวัย 37 ปี ชื่อนายตันซิน อาศัยอยู่ที่เมืองจื่อเคอถาน ในมณฑลชิงไห่ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน เสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วย โรคกาฬโรคปอด ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยนายตันซิน นั้นเป็นเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตรายแรก เป็นชายวัย 32 ปี ไม่ระบุชื่อ ยึดอาชีพเลี้ยงสัตว์ เป็นผู้ติดเชื้อรายแรก จึงเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อกักกันโรคแต่ก็เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมีผู้ติดเชื้ออีก 10 คน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นญาติผู้เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตรายแรก
และล่าสุดผู้เสียชีวิตรายที่ 3 เป็นชายวัย 64 ปี เสียชีวิตลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อาศัยอยู่ในเมืองจื่อเคอถาน จังหวัดซิงไห่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
ตามรายงานระบุว่า พบการระบาดของโรค ตั้งแต่ วันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชน 9 รายล้มป่วยลง และพบผู้เสียชีวิตรายแรก เป็นชายวัย 32 ปี และ รายที่สองเป็นชายเช่นกันอายุ 37 ปี และล่าสุด รายที่สามเป็นชายวัย 64 ปี เสียชีวิตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะนี้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ป้องกันการแพร่กระจายออกนอกพื้นที่แล้ว
สำหรับเมืองจื่อเคอถาน เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยชาวทิเบต มีประชากรอยู่ราว 10,000 คน ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขของจีนจึงได้มีคำสั่งให้ปิดเมืองจื่อเคอถาน และพื้นที่ใกล้เคียง ห้ามติดต่อกับโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด พร้อมกันนั้นก็ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ โดยมีคำสั่งประกาศเตือนว่า หากผู้ใดมีอาการไอหรือไข้ขึ้นสูงหลังจากที่เข้าไปที่เมืองนี้ นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา ขอให้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วน
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานองค์การอนามัย โลกประจำประเทศจีน ระบุว่า ได้ประสานงาน อย่างใกล้ชิดกับทางสำนักงานสาธารณสุขของจีนเรื่องมาตรการที่นำมาใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และการกักกันโรค ส่วนสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า น.ส.วิเวียน ตัน โฆษกองค์การอนามัยโลกประจำกรุงปักกิ่งแถลงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะมีการตรวจพบเป็นระยะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจึงไม่แปลกใจที่พบโรคนี้ เรากำลังประสานกับทางการจีนเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถควบคุมได้ โรคกาฬโรคปอด เกิดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลของประเทศ ดังนั้นจึงน่าจะช่วยทุเลาความรุนแรงลงได้บ้าง
ด้านชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ ชื่อนายฮั่นเป็นคนขายอาหารตามแผงในตลาดคริสตัล แอลลีเมืองจื่อเคอถาน กล่าวว่าทางการได้ประกาศให้ร้านค้าและบ้านเรือนจัดการทำความสะอาด และประชาชนควรสวมหน้ากากหากออกนอกพื้นที่ ขณะนี้ร้อยละ 80 ของเมืองปิดกิจการชั่วคราว และราคาสินค้าประเภทยาฆ่าเชื้อโรคและพืชผักมีราคาสูงเป็น 3 เท่าจากปกติ ส่วนเจ้าหน้าที่ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อในเมืองจื่อเคอถาน บอกว่า มาตรการปิดเมืองนี้เป็นระเบียบปฏิบัติที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย และเหตุผลด้านวิทยาศาสตร์
สำหรับ โรคกาฬโรคปอด นั้น สามารถแพร่ กระจายไปในอากาศ ทำให้เชื้อแพร่ระบาดได้ง่ายจากคนสู่คนโดยเฉพาะจากผู้ป่วยที่มีอาการไอ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับกาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ซึ่งเคยคร่าชีวิตผู้ป่วยถึง 25 ล้านคนในทวีปยุโรปในยุคกลาง โดยกาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ เกิดจากสัตว์ประเภท เห็บ หมัด เป็นพาหะนำโรค สามารถรักษาได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะหากพบอาการติดเชื้อตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม กาฬโรคปอด เป็นโรคติดเชื้อชนิดร้ายแรงอีกโรคหนึ่งตามรายงานขององค์การอนามัยโลกว่า ผู้ติดเชื้ออาจเสียชีวิตได้ใน 24 ชั่วโมง
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด ในชนกลุ่มน้อยทิเบต สาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ไม่อยากให้ตื่นตระหนก เพราะเป็นการแพร่ระบาดในหมู่คนจำนวนน้อย ยังไม่ลุกลามข้ามประเทศ อย่างไรก็ตามได้สั่งให้กรมควบคุมโรค และสำนักระบาดวิทยา เฝ้าติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เนื่องจากโรคนี้ห่างหายจากประเทศไทยไปนานนับ 10 ปี และต่างจากกาฬโรคทั่วไป ที่จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ แต่ กาฬโรคปอด เชื้อจะลงปอดทำให้ปอดอักเสบเฉียบพลัน ขอเตือนคนไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำงานให้ระวังตัวเองงดเว้นเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง แต่คงไม่ถึงขั้นสั่งห้ามเดินทางไปประเทศจีน เพราะจีน เป็นประเทศใหญ่ มีหลายมณฑล
นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กาฬโรคปอด เป็นโรคติดต่อร้ายแรง แพร่เชื้อจากคนสู่คนด้วยการไอ จาม เชื้อจะลงไปทำลายปอด ทำให้การหายใจ ล้มเหลว สาเหตุการเสียชีวิต โรคนี้เกิดจากสัตว์ กลุ่มฟันแทะ ทั้งหนู แมว เห็บ หมัด และแพร่สู่คน แพร่กระจายได้ทางอากาศ ระบาดได้ง่ายโดยทั่วไปองค์การอนามัยโลกจะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด และประกาศปิดพื้นที่ระบาด ห้ามเคลื่อนย้ายคนหรือสัตว์ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย สำหรับประเทศไทยได้สั่งการให้ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดใหญ่ของการเดินทางระหว่างประเทศ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม
- สำนักโรคติดต่อทั่วไป
- technoinhome.com
เขียนโดย sp ที่ 03:38
Nathan is adamant he’s not lying, but 20th Century Fox says “He’s Crazy!”
Yesterday teary Nathan Oman gave a press conference to confirm he’s not lying about his debut in a Hollywood movie “The Prince of Red Shoe” starring alongside Bruce Willis and Christina Ricci. The former RS Promotion singer was pushed to come forward to the media after his business partner DJ JJ of Easy FM 105.5 came out to expose him.
DJ JJ announced to the press that Nathan is in fact a liar, he lied about the Hollywood movie, his ethnicity and his age. According to his identity card – Nathan Oman, real name Thanyawat Yoontrakoon is in fact 34 years old and not in his twenties as claimed in his profile. However despite the evidence, Nathan is adamant he is not a liar. On the other hand Twentieth Century Fox, Thailand reveals to Dailyworld - the movie does not exist and the man is “Crazy!”
With tears in his eyes, Nathan confirms he’s not lying. So how is this saga ever going to end if the suspected liar refuses to plead guilty?
Credit : http://dirtiilaundry.wordpress.com/2009/07/29/nathan-is-adamant-hes-not-lying-but-20th-century-fox-says-hes-crazy/
เขียนโดย sp ที่ 14:24
นาธาน โอมาน
นาธาน โอมาน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กลายเป็นประเด็นฮอตขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากที่ "ดีเจ.เจเจ - จามจุรี แคสเชอร์" แจ้งความกล่าวหาดารา-นักร้องหนุ่ม นาธาน โอมาน ยักยอกเงินค่าประกันและค่าเช่าร้านเป็นเงินหลายหมื่นบาท บวกกับในวงการอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะเว็บไซต์พันทิป ระบุว่า นาธาน โอมาน ไม่ได้โกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง the prince of red shoe ร่วมกับ "บรู๊ซ วิลลิส" ที่ประเทศตะวันออกกลางตามที่กล่าวอ้าง เนื่องจากเมื่อไปเช็คข้อมูลหนังเรื่องนี้ตามอินเทอร์เน็ต กลับไม่พบแต่อย่างใด พร้อมๆ กับเสียงเม้าท์ว่า จริงๆ แล้ว นาธาน โอมาน สร้างประวัติตัวเองขึ้นมาใหม่ เพราะไม่ได้เป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล ฯลฯ จนทำให้ใครๆ ก็อยากจะรู้จัก ประวัตินาธาน โอมาน ว่าเป็นใคร มาจากไหน วันนี้กระปุกดอทคอทจะพาไปค้น ประวัตินาธาน โอมาน หนุ่มปริศนาคนนี้กันค่ะ...
ประวัตินาธาน โอมาน
นาธาน โอมาน (Nathan Oman) หรือ นายนธัญ โอมานันท์ เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2524 เป็นลูกครึ่งไทย (สตูล) - เนปาล ส่วนสูง 179 เซนติเมตร น้ำหนัก 66 กิโลกรัม เกิดและโตที่เนปาล ก่อนที่ นาธาน โอมาน จะหนีออกจากบ้านและมาอยู่ประเทศไทยเมื่อตอนอายุ 15 ปี ด้วยกระเป๋าหนึ่งใบและหัวใจกว้างๆ หนึ่งดวง โดยเริ่มเข้าเรียนต่อที่นานาชาติ ภูเก็ต ก่อนมาเข้าเรียนเพาะช่าง 2 ปี และย้ายไปศึกษาระดับปริญญาตรี ที่คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะสมัยเด็กๆ เด็กชายนาธานชื่นชอบศิลปะมากกว่าวิชาอื่นๆ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก โดยหนุ่มคนนี้บอกว่าศิลปะเป็นสิ่งดีจะติดตัวเราไปทุกที่ และเขาก็รักศิลปะ พร้อมกับได้เรียนรู้ศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่เนปาลแวดล้อมไปด้วยศิลปะ โรงเรียนที่นั่นเน้นสอนวิชาทางศิลปะ โบราณคดี ภาษา มากกว่าคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ส่วนงานอดิเรก นาธาน โอมาน ชอบเล่นกีฬา ท่องเที่ยว รวมถึงสะสมภาพถ่าย ซีดีเพลง และผลงานตัวเอง แต่ถ้ามีเวลาว่างเขาจะชอบอ่านหนังสือ แต่งบ้าน ทำงานศิลปะ และถ้ามีเวลามากๆ เขาก็ไม่รอช้าที่จะแพ็คกระเป๋าเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญเขามีความสามารถพูดได้ 5 ภาษา คือ ฝรั่งเศส, เนปาล, รัสเซีย, อังกฤษ และภาษาไทย
สำหรับเส้นทางในวงการมายาของ นาธาน โอมาน นั้น เริ่มด้วยการถ่ายแฟชั่นตามนิตยสาร ถ่ายโฆษณาสินค้านานาชนิด และด้วยหน้าตาที่คมเข้มจนไปสะดุดตาค่ายอาร์เอส จนชักชวนให้มาเป็นศิลปินในสังกัด มีอัลบั้มแรกสไตล์ป็อปร็อกชื่อ Nathan ตามมาด้วยอัลบั้มที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในเวลาไม่นาน และวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 ชื่อของเขาก็ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับอีกครั้ง หลังจากเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติไปมากมาย ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีผู้ที่รอดชีวิต และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ นาธาน โอมาน รวมอยู่ด้วย ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลายๆ รายการเชิญหนุ่มคนนี้ไปบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่จากนั้นชื่อของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปจากแวดวงสื่อบันเทิง จะมีก็แต่กระแสเล็กๆ น้อยว่า เขาเปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและประเทศบ้านเกิด ฝากให้แฟนๆ อ่านให้หายคิดถึง
นาธาน โอมาน
จนเมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.2551 นาธาน โอมาน ได้ออกมาประกาศว่า เขาได้เล่นหนังฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิ๊กบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ โดยมี วูลฟ์ กัง และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ และแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ทำให้ชื่อของเขากลับเข้ามาในสารระบบของวงการมายาอีกครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะ ผู้คนในโลกไซเบอร์ได้ทำการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง The Prince Of Red Shoe แต่หนังเรื่องดังกล่าวกลับไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่า นาธาน ไปเล่นหนังฮอลลีวูดจริงๆ จึงกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในกระทู้เป็นวงกว้าง พร้อมๆ กับเม้าท์กัยสนุกปากว่า เขาเป็นคนลวงโลก พูดจาโกหก สร้างเรื่องขึ้นเพื่อต้องการโปรโมทตัวเอง รวมไปถึงขุดคุ้ย ประวัตินาธาน โอมาน โดยระบุว่า นาธานไม่ได้เป็นลูกครึ่งเนปาลอย่างที่กล่าวอ้าง ผนวกกับที่ดีเจสาว “เจเจ” ออกมาแฉว่าโดน นาธาน โอมาน ยักยอกเงินของร้านที่เขามีหุ้นลมรวมอยู่ด้วย ทำให้ชื่อเขากลายเป็นที่สนใจขึ้นมาอีกครั้ง
แต่งานนี้ นาธาน โอมาน ก็ออกมาโต้ทันควันว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับจะแจ้งความกลับอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่มีคนกล่าวหาว่าเขาสร้างประวัติตัวเองมาหลอกคนอื่นนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะนักร้องหนุ่มยืนยันหนักแน่นว่า เป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล พร้อมกับระบุว่า เขามีพาสปอร์ตใช้ชื่อ นธัญ โอมานันท์ ภาษาอังกฤษใช้ NATHAN OMAN และมี 2 พาสปอร์ต คือ พาสปอร์ตไทย กับโอมาน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพาสปอร์ตไทยแล้ว เพราะว่าอยู่เมืองไทยนาน ถือสัญชาติไทย และคุณแม่เป็นคนสตูล พ่อเป็นแขกขาว เป็นคนเนปาล
ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวหาว่าเขาเป็นคนลวงโลกนั้น นาธาน โอมาน เปิดใจว่า ยืนยันว่าไปถ่ายจริง แต่กระบวนการของการถ่ายหนัง ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งพูดหรือมานั่งตอบโต้ว่านี่คือรูปที่ถ่ายกับ บรู๊ซ วิลลิส รูปที่ถ่ายกับ คริสติน่า ริชชี่ หนังทั้งหมดนี่คือเบื้องหลัง พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่เหลือมันเป็นพีอาร์ของบริษัท มันเป็นสิทธิของเขา เราเป็นแค่คนๆ หนึ่ง และหนังเปิดกล้องไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่วนชื่อเรื่องที่เขาตั้งไว้ คือ Red Shoe แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เขาตั้งชื่อไว้เป็นตัวอย่าง ส่วนสถานที่ถ่ายทำก็หลายประเทศ ทุกเมืองแขกของยูเออี มีพวกเมืองกลางทะเลทราย แทบตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศโอมาน
นาธาน โอมาน
"ตอนนี้ผมบอกชื่อบริษัทไม่ได้แล้วครับ บริษัทที่ทำเป็นบริษัทเอกชน เป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาห้ามผมพูดทุกอย่างแล้ว ต่อไปในอนาคตค่อยว่ากันอีกที ทุกอย่างธานไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แล้ว เพราะพอมันเป็นอย่างนี้มันอาจจะมีผลกับหนังที่ธานถ่าย เพราะมันกลายเป็นว่าธานออกมาให้ข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียว กลายเป็นว่าธานเอาความลับออกมาบอก ธานมีรูปอยู่กับบรู๊ซ วิลลิส แต่ว่าภาพมันคือลิขสิทธิ์ มันเป็นภาพในหนัง ถ้าธานเอามามันก็เป็นการเผยความลับหนัง" นาธาน กล่าว
นาธาน โอมาน เปิดใจต่อว่า ณ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก เพราะอยู่ในวงการมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเสียๆ แบบนี้เลย ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยในวงการบันเทิง มีแต่ข่าวช่วยเหลือสังคมมากกว่าการเป็นนักร้องเสียอีก เหตุการณ์และข่าวที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเสียใจ และไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนจ้องทำลายและทำให้เสียชื่อเสียงได้ขนาดนี้ แล้วเอาอะไรมาตัดสินว่าเขาผิด เอาอะไรมาตัดสินว่าเขาแย่มาก แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องมานั่งโกหกทำเรื่องแบบนี้
และนี่คือ... ประวัตินาธาน โอมาน พร้อมกับตัวตนของเขาค่ะ
ประวัตินาธาน โอมาน (แบบย่อ)
ลูกครึ่งไทย-เนปาล เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนพี่น้อง 3 คน ของนายฮัมเซะห์ และนางอุทัยวรรค์ โอมาน มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน
ชื่อ - สกุล : นาธาน โอมาน
ชื่อเล่น : ซาบิต
ชื่อในวงการ : นาธาน
วันเกิด : 14 พฤษภาคม 2524
สถานะ : โสด
ถิ่นกำเนิด : เนปาล
การศึกษา : ปริญญาตรี สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา คณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา
งานอดิเรก : ท่องเที่ยว, อ่านหนังสือ, แต่งบ้าน, ทำงานศิลปะ
สิ่งที่ชื่นชอบ : ว่ายน้ำ, ฟิตเนส
ของสะสม : ภาพถ่าย, ซีดีเพลง
ที่อยู่ : บริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น 419/1 อาคารเชษฐโชติศักดิ์ ลาดพร้าว 15 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ผลงานเพลง : อัลบั้มชุดแรก นาธาน สังกัด อาร์เอสฯ เพลงที่รู้จัก นางฟ้ามาโปรด(2548), อัลบั้มชุดที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ สังกัด อาร์เอสฯ
ผลงานเขียน : หนังสือชื่อ ผมมันเด็กหลังเขา(หิมาลัย)
ผลงานภาพยนตร์ : ร่วมแสดงภาพยนตร์ฮอลีวู้ด เรื่อง The Prince Of Red Shoe หรือ เดอะ พรินซ์ ออฟ เรด ชู หรือ เจ้าชายรองเท้าแดง ของผู้กำกับ วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซ่น
ผลงานถ่ายแฟชั่น : Image/ Lip/ Popteen/ Omo(ญี่ปุ่น)
ผลงานโฆษณา : DTAC/ 7Eleven/ Fanta/ Nokai8310/ GSM(เวียดนาม, อินโดนีเซีย) / Clinic (อินโดนีเซีย)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
, , , ,
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
เขียนโดย sp ที่ 09:48
โดย จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์
ใครบ้างไม่อยากประสบความ สำเร็จ? ถามแบบนี้อาจฟังดูแปลก ถึงอย่างนั้นคนที่คุณรู้จักส่วนใหญ่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จกับเขาสักที ได้แต่เฝ้าฝันถึง พูดถึง แต่ไม่เคยได้รับความสำเร็จเลย ซึ่งก็น่าเสียดาย
ทำไมเป็นเช่นนั้น? เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความสำเร็จนั่นเอง มันไม่ใช่ล็อตเตอรี่ ไม่ใช่ว่าคุณจะแวะร้านสะดวกซื้อขากลับบ้าน ซื้อสลากสักใบ แล้วรอให้ความสำเร็จมาหล่นทับได้ อีกทั้งมันไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะได้เจอยามเมื่อชีวิตสุกงอมจนถึงระดับหนึ่ง ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่อยู่ปลายทาง แต่เป็นสิ่งประจำวันนี่แหละ ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จอันแท้จริงได้ก็คือ สร้างมันทีละวัน
ความจริงเรื่องความสำเร็จ
ความสำเร็จนั้นใช่ว่าคุณต้องมีโชคหรือเงินทอง แต่คุณพึงรู้ว่า
* แต่ละวันคุณทำอะไร คุณก็เป็นอย่างนั้น
* คุณสร้างนิสัยขึ้นก่อน แล้วนิสัยก็สร้างตัวคุณ
* การสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จนั้นง่ายพอๆ กับสร้างนิสัยแห่งความล้มเหลว
ทุกๆ วันที่มีชีวิตอยู่ คุณกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าคุณได้สร้างอะไรให้แก่ตัวเองบ้าง ผมขอแนะวิธีบางอย่าง ที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่ตัวคุณ
เจ็ดก้าวสู่ความสำเร็จ
1. จงถือเป็นหน้าที่ที่จะเติบโตขึ้นทุกวัน คนเราทำข้อผิดพลาดใหญ่หลวงอย่างหนึ่งก็คือ พุ่งเป้าผิด ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการได้มา การบรรลุถึง หรือการก้าวไปข้างหน้า แต่เกิดจากผลของการเติบโตเท่านั้น ถ้าคุณตั้งเป้าว่าจะเติบโตขึ้นทีละนิดทุกวัน ไม่นานคุณก็จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในชีวิต
อย่างที่ โรเบิร์ต บราวนิง กวีชาวอังกฤษกล่าวว่า “อยู่ในโลกไปไย หากไม่ใช่เพื่อเติบโต?”
2. ให้ความสำคัญแก่กระบวนการยิ่งกว่าผล ผลชัดเจนในชีวิตนั้นเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจที่ดี แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงและเติบโตต่างหากที่จะยืนยง ถ้าคุณอยากก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง ก็จงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
3. อย่ารอคอยแรงดลใจ เจอร์รีย์ เวสต์ ยอดนักเบสบอลกล่าวว่า “ชีวิตคุณคงไม่ไปไหน หากลงมือทำงานเฉพาะแต่ในวันที่คุณรู้สึกดี” ผู้ที่ก้าวไปได้ไกลก็เพราะเขาหมั่นเตือนตัวเองทุกวัน ทุ่มเทให้ชีวิตสุดตัวไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม จะมีความสำเร็จได้ก็ต้องมุ่งมั่นบากบั่น
4. เต็มใจสละความสุขเพื่อสร้างโอกาส หนึ่งในบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อสอนผมก็คือ หลักของการ จ่ายเดี๋ยวนี้ สุขีวันหน้า เพราะทุกสิ่งในชีวิตนั้น คุณต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง จะเลือกจ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม หรือจ่ายหลังสุดก็ต้องจ่ายทั้งนั้น ถ้าคุณจ่ายแต่แรก คุณก็จะมีสิทธิ์รับผลตอบแทนที่ยิ่งกว่าในภายหลัง แถมผลนั้นยังหอมหวานกว่าด้วย
5. ฝันให้ใหญ่ การฝันเรื่องเล็กๆ นั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า โรเบิร์ต เจ. ครีเกล กับ หลุยส์ แพตเลอร์ ผู้ เขียนหนังสือ ถ้ามันไม่แตก ก็ทุบมันเลย (If It Ain’t Broke, Break It) ย้ำว่า “เราบอกไม่ได้หรอกว่าขีดจำกัดของคนเราอยู่ตรงไหน การทดสอบ นาฬิกาจับเวลา และเส้นชัยทั้งหลายในโลกนี้ไม่อาจชี้วัดศักยภาพของมนุษย์ได้ หากใครกำลังสานฝันให้เป็นจริง คนคนนั้นก็ก้าวพ้นสิ่งที่ดูจะเป็นขีดจำกีด ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเรานั้นไม่มีขีดจำกัด และยังไม่ปลดปล่อยออกมาเป็นส่วนใหญ่ หากคุณคิดถึงขีดจำกัด ก็เท่ากับคุณสร้างขีดจำกัดขึ้นมาแล้ว”
6. หัดจัดลำดับความสำคัญ สิ่งหนึ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนมีเหมือนกันก็คือ ต่างเชี่ยวชาญเรื่องการจัดเวลา ก่อนอื่นเขาจะจัดระเบียบตัวเองเป็นอันดับแรก เฮนรี่ ไคเซอร์ ผู้ก่อตั้งไคเซอร์อะลูมิเนียม และศูนย์สุขภาพไคเซอร์เพอมาเนนเต กล่าวไว้ว่า “ทุกนาทีที่ใช้วางแผน จะช่วยลดเวลาให้คุณเป็นสองเท่า ยามลงมือทำ” คุณเรียกเวลาที่สูญเสียไปกลับมาไม่ได้ ฉะนั้นจงใช้เวลาทุกขณะให้คุ้ม
7. เลิกเพื่อเลื่อนระดับ ไม่มีสิ่งมีคุณค่าใดที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรบางอย่างไป ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยช่วงเวลาสำคัญ ที่คุณจะมีโอกาสแลกสิ่งมีค่าบางอย่างเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่ง จงตั้งใจมองหาช่วงเวลาที่ว่านั้น และให้แน่ใจว่าทุกครั้งคุณแลกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ไม่ใช่น้อยกว่า
ถ้าคุณทุ่มเทตั้งใจทำเจ็ดก้าวข้างต้นนี้ คุณจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็จะประสบความสำเร็จ การเติบโตของคุณอาจไม่ปรากฏให้คนอื่นเห็นอย่างเด่นชัดในทันที แต่ คุณ จะแลเห็นความก้าวหน้าของตนเองแทบจะในทันทีทันใด และแม้คนอื่นจะยอมรับช้าไปบ้างก็อย่าท้อใจ ให้พยายามต่อไป คุณจะประสบความสำเร็จในที่สุด
ขณะ ที่คุณก้าวรุดหน้าไปในแต่ละวันนั้น จงใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อสร้างเสริมทัศนคติและดุลพินิจของคุณ เปิดอ่านครั้งเดียวหรือสองครั้งให้จบ แล้วเก็บไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ในรถ หรือในกระเป๋าทำงาน เมื่อมีเวลาก็พลิกอ่านเพื่อทบทวนว่า การประสบความสำเร็จนั้นหมายถึงอะไร
นี่จะเป็นช่วงก้าวย่างอันเหลือเชื่อ! บางครั้งคุณจะพบกับความตื่นเต้น และบางครั้งความมีวินัยเท่านั้นที่จะทำให้คุณยืนหยัดไปจนตลอดรอดฝั่งได้ แต่จงจำไว้เสมอว่า ความสำเร็จกำลังรอคอยให้คุณเปิดฉากก่อน มาเริ่มต้นกันเถอะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.recovery.ac.th/forum/index.php?topic=1264.0
เขียนโดย sp ที่ 03:37
รถยนต์พลัง H2O
1. ไฮโดรเจนคืออะไร
ตอบ น้ำที่เราใช้ดี่ม ใช้ชำระร่างกาย และนานาประโยชน์ มีองค์ประกอบอยู่ในรูป H2 O กล่าวคือ ไฮโดรเจน 2 ส่วน และออกซิเจน 1 ส่วน เราใช้ไฟฟ้า เป็นตัวทำปฏิกิริยา แยกเอาเฉพาะก๊าซไฮโดรเจน ออกมาเป็นเชื้อเพลิง
2. ก๊าซไฮโดรเจนนี้ ใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม กับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหลัก อะไรได้บ้าง
ตอบ ใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม กับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหลัก เช่น เบนซิน
ดีเชล B5 แก๊สโซฮอลล์91 แก๊สโซฮอลล์95
3. ใช้กับรถยนต์ที่เป็นรุ่นหัวฉีด คอมมอนด์เรล คาบูเรเตอร์ หรือ เครื่องเจได้ไหม
ตอบ ใช้ได้ เพราะก๊าซไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนสูงกว่า น้ำมันเบนซิน ดีเซล ทำให้การจุดระเบิดในห้องเครื่องยนต์ดีกว่า สันดาปสมบูรณ์ ส่งผลให้อัตราเร่งดีขึ้นเครื่องยนต์สะอาดไม่เป็นมลภาวะทางอากาศ
4. ถ้านำไปติดตั้งกับเครื่องยนต์ขนาด 3000 cc.ขึ้นไป หรือนำไปติดตั้งกับ เรือ รถบรรทุกหัวลาก รถไถนา รถสิบล้อ หรือ รถทัวร์ได้หรือไม่
ตอบ สามารถติดตั้งได้ โดยใช้รุ่นของเครื่องผลิตไฮโดรเจนตามขนาดของเครื่องยนต์
5. ติดตั้งใช้แล้วจะมีผลกระทบอะไรกับเครื่องยนต์หรือไม่
ตอบ ไม่มีผลใด ๆ ต่อเครื่องยนต์ เพราะยังใช้ร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่
6.การติดตั้งต้องมีการเจาะตัดดัดแปลงหรือเปลี่ยนเครื่องเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถยนต์
เดิมๆ หรือไม่
ตอบ ไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชิ้นส่วนเดิมของเครื่องยนต์แม้แต่อย่างเดียว เรานำก๊าซไฮโดรเจนเข้าทางท่อไอดี( ท่อดูดอากาศของรถยนต์ ) เพื่อให้เครื่องยนต์ดูดเอาก๊าซไปใช้เป็นพลังงานร่วมกับเชื้อเพลิงหลักเดิม ของรถยนต์ที่ใช้อยู่แล้ว
7. กรณีรถชนกัน จะเกิดการระเบิดได้หรือไม่
ตอบ ไม่เกิดการระเบิด เพราะเมื่อเครื่องสร้างก๊าซให้เกิดขึ้นแล้ว เครื่องยนต์จะดูดไปใช้เลยไม่มีการสะสม หรือเก็บไว้ในถังเหมือนกับแก๊ส NGV หรือ LPG
8. ติดตั้งเครื่อง รถใช้น้ำ แล้วดีอย่างไร
ตอบ ใช้ไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงร่วม กับเชื้อเพลิงหลักเดิม ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงถึง 40-60%(ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์และการใช้งานของผู้ขับขี่ )ช่วยลดภาวะโลกร้อน เครี่องยนต์มีแรงม้าเพิ่มขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าและช่วยประเทศชาติประหยัด
9.ถ้าใช้เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อการสึกของเครื่องยนต์หรือไม่ ถ้ามีจะเป็นอย่างไร
ตอบ ไม่มีผลกระทบ เพราะเราใช้ก๊าซไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงร่วมเเละยังคงใช้เชื้อเพลิงเดิมอยู่ (น้ำมัน)
10. อายุการใช้งานนานเท่าไหร่
ตอบ เเยกกันเป็น 2 ส่วนคือ 1.ระบบอิเล็กทรอนิกส์การใช้งานก็เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป
2.ถังผลิต H2O มากกว่า 5 ปี เเต่สามารถซ่อมได้ทุกชิ้นส่วน
11. ใช้พลังงานไฟจากแบตเตอร์รี่ในการทำงานเท่าไหร่
ตอบ 5-35 A หรืออยู่ที่การตั้งค่าการติดตั้ง
12. มีผลต่ออายุการใช้งานของ Battery (แบตเตอรี่) หรือไม่
ตอบ ไม่มีผลเพราะระบบ Hydrogen Gernerator ของเรามีระบบ Power Control ที่ควบคุมระบบการจ่ายไฟ
จึ่งทำให้หมดปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เสื่อม
13. สามารถใช้กับรถที่ติดตั้งแก๊ส NGV หรือ LPG ได้หรือไม่
ตอบ รถยนต์ที่ใช้เเก๊ส NGV หรือ LPG เป็นเชื้อเพลิงหลักสามารถนำก๊าซไฮโดรเจนไปเป็นเชื้อเพลิงร่วมได้ ช่วยให้เเรงม้าเครื่องยนต์เพิ่มอัตราการเร่ง การออกตัวดีขึ้น การเผาไหม้เครื่องยนต์สมบูรณ์ ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้นานขึ้น เเละช่วยประหยัดเงินในการซื้อเเก๊สเติมโดยการปรับอัตราส่วนผสมลดลง เพราะน้ำมีต้นทุนที่ต่ำ ใช้น้ำบ่อน้ำตามเเหล่งธรรมชาติได้ทุกอย่างไม่ต้องซื้อหา
14. บริษัทประกันภัยจะรับเคลมหรือไม่
ตอบ บริษัทไม่ได้ทำประกันภัยไว้กับเครื่อง H2O
15. ต้องเติมน้ำบ่อยหรือไม่
ตอบ ไม่บ่อย เพราะถังสำรองน้ำของเรามีขนาดใหญ่สุด 5 ลิตรและ2ลิตร เติมครั้งเดียววิ่งได้ระยะทางที่น่าพอใจ
16. ไฮโดรเจนจะระเบิดได้ไหม
ตอบ สามารถระเบิดได้ในกรณีที่เก็บไว้ในถังที่มีอุณหภูมิสูง แต่ระบบ Hydrogen Generator ของเราเป็นเครื่องผลิตไม่ใช่ถังเก็บและเครื่องจะผลิตเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ระดับที่ตั้งไว้
เท่านั้นเพราะฉะนั้นปัญหาการระเบิดจึงมีเปอร์เซนต์น้อยมากหรือถ้ามีตกค้างการระเบิดจะเท่า
กับลูกโป่งแตกหรือเท่ากับเสียงจุดประทัด จึงไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อทรัพย์สินของท่าน
17. ต้องเสียภาษีเพิ่มหรือแจ้งกับกรมการขนส่งหรือไม่
ตอบ ไม่ต้องแจ้งเพราะระบบที่เราไปติดตั้งให้ลูกค้า เราไม่มีการดัดแปลงเครื่องยนต์ หรือมีถังเพื่อเก็บแบบแก๊ส
ซึ่งจะต้องแจ้งและลงทะเบียนกับขนส่ง แต่อุปกรณ์ที่เราติดเป็นเครื่องผลิตไฮโดรเจนขนาดเล็ก ๆ ที่ี่ต่อเข้ากับระบบ
รถยนต์ และบริษัทได้ติดต่อเรื่องนี้กับกรมการขนส่งแล้ว
18. สามารถใช้ไฮโดรเจน 100 % โดยไม่ต้องใช้ร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้หรือไม่
ตอบ ไม่สามารถทำได้ เพราะ รถยนต์ในปัจจุบัน ไม่ได้รองรับให้ใช้ไฮโดรเจน ได้ 100% เพราะฉะนั้นจะต้องมี น้ำมันเป็นเหมือนฟิล์มป้องกันการทำงานของเครื่องยนต์
19. การทดสอบบริษัทใช้การทดสอบอย่างไรเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน
ตอบ
บริษัทได้ทำการทดสอบทั้งในห้องทดลองและทดสอบกับรถโดยทดลองวิ่งในระยะ
ทางเดียวกันและสภาวะเดียวกัน ทั่วทั้งประเทศไทย
20. เวลาผลิตไฮโดรเจนเครื่องร้อนมาก มีวิธีการป้องกันอย่างไร
ตอบ มีระบบระบายความร้อนโดยอัตโนมัติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.h2o-driving.com/page4.html
เขียนโดย sp ที่ 03:33
เขียนโดย sp ที่ 03:30
เขียนโดย sp ที่ 03:28
เขียนโดย sp ที่ 03:27
เขียนโดย sp ที่ 03:26
วิธีแย่งแฟนอย่างแนบเนียน
1. เข้าไปสนิทสนม ในฐานะ น้องสาว .. เขาจะได้ปฏิเสธไม่ออกไงหละ
ก็ไม่ได้มาชอบซักหน่อย แค่
ขอเป็นน้องสาว อย่าเล่นตัวสิคะ ..คุณว่าที่(อดีต)พี่สะใภ้ อย่า หึงหนู
เลยน๊า.. หนูอยากมีพี่ชายกับเค้า
ซักคนนึงง่ะ
2. หมั่นเอาใจใส่ “พี่ชาย” อย่างสม่ำเสมอ
อย่าลืมทำท่าอาโนเนะน่ารักน่าเอ็นดู มีมุข สาว เปิ่น เอ๋อ
แต่น่ารักออกมาให้เขาชื่นชมความใสซื่อของเราเป็นระยะๆ
3. หลังจากที่เริ่มสนิทสนมกัน ก็ ค่อยๆ หา ปัญหาหนักอก หนักใจมาปรึกษากับ
“พี่ชาย” เช่น พี่ชายขา
ทำไงดีคะ หนูไม่รู้จะบอกกับสมศักดิ์เขายังไงว่าหนูไม่ชอบเขา .. ทำให้ “พี่
ชาย” รู้สึกว่า เด็กน้อยใส
ซื่ออย่างเรา ช่างน่าปกป้อง ทะนุถนอม
4. เมื่อสนิทกันมากขึ้น ก็ แอบถาม
ล้วงความลับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟน ทีละ เล็ก ทีละ
น้อย... อย่างชื่นชม.. “พี่ชาย” รักว่าที่(อดีต)พี่สะใภ้ดีจังค่ะ
สมกันจังนะคะ ขั้นตอนนี้ โปรดทำ หน้า
ชื่นชมให้ แนบเนียน
5. สนิทกันไป เดี๋ยวไอ้เจ้า “พี่ชาย” ก็จะมีเรื่อง ลิ้นกับฟัน ทะเลาะกะแฟน
เอามาเล่าให้ฟังมั่ง
แหละ... ทีนี้หละ ต้องค่อยๆสอดแทรก ทะลวงจุดอ่อนให้ได้ แบบ
“พี่เค้าคงรักพี่ชายมากน่ะค่ะ เลยทำ
อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นหนูนะ หนูจะ...(ทำเป็นคนฉลาด มี ไหวพริบ และมีสติ
น้ำใจงามสรรพ์สุดฤทธิ์)...”
แหม...เหตุที่ไม่ได้เกิดกับเรา จะสร้างภาพให้ดียังไงก็ได้ จริงไหม
ส่วนเจ้า”พี่ชาย” ก็จะเริ่มจะกลัว
การผูกมัดและรู้สึกหวั่น! ไหวว่า เอ๊ ที่จริง แฟนกรูดีจริง ป่าววะ ทำไม
คนอื่นไม่คิดดีๆ แบบที่นัง”น้อง
สาว” ตัวแสบ คิดบ้าง
6. พอเขาเริ่มระแวงกัน ก็ได้เวลาวางแผนพิชิตศึก เริ่มจากดึงเวลาของ”พี่ชาย”ที่
เคย ให้นังก้าง
ขวางคอ มาเป็นของเรา บ่อยๆ โทรไปหาเขาในเวลาที่รู้ว่าเขาต้องอยู่กับแฟน
เพื่อเป็นชวนให้เกิดการ
หึงหวงทะเลาะวิวาท ให้ ว่าที่ อดีตพี่สะใภ้ สะดุดใจว่า
ทำไมแฟนชั้นต้องให้ความสำคัญกับนัง “น้อง
สาว” มากขนาดนี้ด้วยฟะ
7. อย่าลืมเอาใจใส่เขา และ
สร้างภาพ นางฟ้าตัวน้อยที่อ่อนหวานน่าทะนุถนอมให้สม่ำเสมอ
8. คนเก่า ออกท่าทางเป็นนางยักษ์ คอยหึงหวง คอยเรียกร้อง
ทะเลาะกันอยู่เรื่อย กับ อีก คนนึงที่
เข้าอกเข้าใจ แสนดี เอาใจใส่...ชักจะเอนเอียงแล้วใช่ม๊า...
9. รอเวลาพักนึง จนเมื่อความสัมพันธ์ทางโน้น พร้อมที่จะระเบิดได้ทันที
ก็ใช้ไม้ตาย.. ร้อง ขอความ
ช่วยเหลือด้วยเรื่องคอขาดบาดตาย
ในเวลาที่เขากำลังจะไปหาแฟนด้วยวาระโอกาสสำคัญ เช่น วันเกิด
วาเลนไทน์..
10. ถ้าเขามาละก้อ... เปอร์เซนต์สูงมากแล้วค่ะ
11. เดี๋ยวมันต้องกลับไปทะเลาะกันแหงๆ
12. เลิกแล้วค่ะ พี่ชายหนูเลิกกับเขาแล้วค่ะ
13. รักษาแผลใจ โอ๋ๆ อย่าเสียใจไปเลย มีเราอยู่เคียงข้างคอยปลอบใจนะคะคนดี
ทีนี้ละ จะไปไหน
เสีย จริงไหมจ๊ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.sobsuan.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=9335
เขียนโดย sp ที่ 03:25
เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "
เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดยเร็วที่สุด
ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้
๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้
การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง
ยกตัวอย่าง
ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"
๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ
๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้มเหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น
สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง
หมายเหตุ *
ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็นแก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อจะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิดอาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://artsmen.net/content/show.php?Category=talkboard&No=2989
เขียนโดย sp ที่ 03:23
เขียนโดย sp ที่ 03:18
Copyright 2007 - spvariety
O2 Design of eches
| To Blogger by
Blog and Web