เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

วกมาเรื่อง ‘จ่าเพียร’



คิดซะว่า เซ่นด้วยเลือด "เอาเคล็ด" ดีกว่านองเลือด

กับมุก "สาดเลือด" ที่กองทัพแดงระดมขอบริจาคเลือด 1 ล้านซีซี เทประจานหน้าทำเนียบรัฐบาล ยกระดับการกดดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ลงทุนกันซะขนาดนี้ แต่ก็ให้บังเอิญว่าโดน "เอ็ม 79" ถล่ม ร.1 พัน 1.รอ. แย่งซีนไป มุกเด็ดของกองทัพคนเสื้อแดงก็เลยเป็นแค่พาดหัวข่าวต่อบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าวันที่ 16 มีนาคม

เรตติ้งไม่เปรี้ยงปร้างสมกับที่ต้องแลกด้วยเลือด

แต่ที่เดือดกลับเป็นอารมณ์ของกำลังพลคนเสื้อแดงเอง ที่เจออากาศร้อนตับแตกจนท้อไปตามๆกัน และก็ยิ่งเซ็งในอารมณ์ เมื่อแกนนำตีธง ถอยกลับไปตั้งหลักที่ฐานชุมนุมใหญ่สะพานผ่านฟ้าฯ ทั้งๆที่ยกพลบุกมาทวงคำตอบยุบสภาจากนายกฯอภิสิทธิ์ จ่อถึงหน้ารังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์

ตามจังหวะไม่สะใจขาลุย ที่ตั้งใจมาวัดดวงปิดเกมกันไปเลย

คิวนี้ก็เลยมีคนเสื้อแดงถอดใจกลับบ้านกันเป็นแถวๆ

ร้อนถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องโฟนอินกระตุกอารมณ์ให้แนวร่วมคนเสื้อแดงที่บางส่วนโกรธกลับบ้านไป ให้มารวมตัวสู้ต่อ

ยกแรกแดงจั่วลม ไม่ได้ใจแนวร่วมคนกันเอง

แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้มาแทน ถึงขนาดที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำใหญ่น้ำตาซึม กับภาพที่ตลอดสองข้างถนนที่ม็อบเสื้อแดงเคลื่อนขบวนผ่าน มีประชาชน ข้าราชการ พนักงานบริษัท ออกมายืนโบกไม้โบกมือทักทายให้กำลังใจในอารมณ์ที่เป็นธรรมชาติ

ยื่นน้ำดื่ม ซื้อขนมนมเนยให้

โดยไม่มีเหตุกระทบกระทั่ง หรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใส่กัน

บ่งบอกว่า วิถีการต่อสู้แบบสันติวิธีของคนเสื้อแดงไฟต์นี้ ได้รับการตอบรับจากคนเมืองหลวง มีอารมณ์ร่วมโดยธรรมชาติ

ไม่ได้เป็นไปตามกระแสก่อนหน้าที่ฝ่ายคุมอำนาจรัฐและพวกที่หมั่นไส้ออกมาปลุกอารมณ์คนเมืองกรุง ให้เขม่นม็อบเสื้อแดงที่ส่วนใหญ่เป็นคนมาจากต่างจังหวัด เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนกรุงเทพฯ

เสื้อแดงยังอยู่ในยุทธศาสตร์ที่ไม่เพลี่ยงพล้ำ "กระแสตีกลับ"

อยู่ที่ว่าจะปรับยุทธศาสตร์ "หาตัวเรียกแขก" มาช่วยประคองกระแส รักษาแนวร่วมเก่า พร้อมๆไปกับระดมแนวร่วมใหม่กันยังไงไม่ให้มั่วออกทะเล

แน่นอน ชื่อแรกที่มีเสียงเพรียกหา ยี่ห้อ "จาตุรนต์ ฉายแสง" มือมวลชนคนเดือนตุลา

ได้เวลามวยต้นทุนสูงขึ้นเวที

ตามรูปเกมที่ยังต้องนวดกันอีกหลายยก ไม่ใช่จะปิดเกมกันได้ในเวลาข้ามวัน

โดยเฉพาะกับรัฐบาล "เด็กเส้น" ที่นั่งร้านโงนเงน แต่แน่นด้วยเงื่อนไขไฟต์บังคับ

อย่างที่อ่านทางกันได้ แม้จะหมั่นไส้ "เด็กดื้อ" เต็มที อยู่กันแบบระแวงๆ แต่พี่น้องทหารเสือราชินีอย่าง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กับ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ไม่กล้าละมือจากนายกฯอภิสิทธิ์

เพราะปัญหาติดพันของเครื่องตรวจระเบิดจีที 200 กับเรือเหาะตรวจการณ์

ขืนปล่อยให้เปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่

"บิ๊กป้อม" กับ "บิ๊กป๊อก" ไม่มีหลักประกัน จะโดนเบิ้ลย้อนหลัง

คิวนี้เลยต้องดันก้นกันแบบจำใจ

โดยจังหวะแล้ว "อภิสิทธิ์" ยังลากเกมอำนาจต่อได้ อย่างที่สื่อฝรั่งบรรยายกันชัดๆ รัฐบาลภายใต้การสนับสนุนของกองทัพ

ไม่ว่าจะด้วยเกมอำนาจหรือเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ

"อภิสิทธิ์" ยังยึดความชอบธรรมไว้ในกำมือ

แต่มาถึงบรรทัดนี้ ต้องขอไว้อาลัย "จ่าเพียรผู้กล้า" พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา

ตายทั้งๆที่เพิ่งหลั่งน้ำตา สังเวยความไม่ชอบธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ที่มั่วอยู่กับข่าวฉาวซื้อขายตำแหน่ง

นัวเนีย "ส" เก้าอี้ใหญ่ กับ "ศ" ฉากหลังบิ๊กรัฐบาล

ในฐานะนายกรัฐมนตรี เบอร์หนึ่งที่คุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินไว้ในกำมือ รู้ปัญหาอยู่แก่ใจ แต่นายกฯอภิสิทธิ์ไม่สามารถคืนความชอบธรรมให้กับ "จ่าเพียร" ได้ทันเวลาในห้วงที่ยังมีลมหายใจอยู่

ถือเป็นความบกพร่องอย่างรุนแรง

ต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่าทำหน้าเศร้าร่วมงานศพ.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/71157

เจาะใจ สดุดี จ่าเพียร นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด











เรื่องเล่าจากบันนังสตา

ยุคเอ็ม 79 ถล่มเมืองบ่งบอกให้เห็นถึงความเป็น บ้านป่าเมืองเถื่อน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขนาดชาวบ้านยังหวาดผวา จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะงดเดินทางมาเมืองไทย หากรัฐบาลยังกังวลอยู่กับ ความปลอดภัยในอำนาจของตัวเอง ต่อไป ชาวบ้านคงนอนตาไม่หลับ

กรณีของ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ที่ต้องสังเวยชีวิตกับเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นตัวอย่างของนโยบาย แบกปืนล่อเป้า ไปวันๆของรัฐบาล และยิ่งได้ยินเรื่องเล่าจากบันนังสตาด้วยแล้ว ทำใจลำบาก

จ่าเพียรกระดูกเหล็ก ถือว่าเป็นคนบันนังสตาไปโดยปริยายเพราะทั้งชีวิตเกือบ 40 ปี รับราชการอยู่ละแวกนั้น โดยเฉพาะที่ สภ.บันนังสตาแทบจะเป็นบ้านของจ่าเพียรไปแล้ว

ชาวบ้านรู้จักรักใคร่ ครอบครัวเพื่อนฝูงสังคมส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนบันนังสตา จ.ยะลา จนกระทั่งเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงขึ้น และเห็นว่าจะเกษียณอายุราชการแล้วครอบครัวจ่าเพียรเลยเห็นตรงกันว่า น่าจะใช้ชีวิตกันอย่างสงบในบั้นปลายของชีวิต เพราะตลอดระยะเวลาที่รับราชการตำรวจมือปราบ ชีวิตจ่าเพียรเจียนอยู่เจียนไปมาตลอด ตั้งใจจะกลับบ้านเกิดที่ อ.กันตัง จ.ตรัง

ผู้บังคับบัญชา ผบช.ภ.9 เสนอให้มีการย้ายจ่าเพียรตามที่ต้องการ เรียบร้อยไปแล้ว รอให้ผู้ใหญ่อนุมัติเท่านั้น คิดว่าทุกอย่างคงไม่มีปัญหาเพราะทุกอย่างสมเหตุสมผล

อนิจจา ไม่ทันไร มีใบสั่งจากนักการเมือง ให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งย้ายใหม่บวกกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจครั้งอัปยศที่สุด จะเป็นนักการเมืองคนไหน ชื่ออะไร ใครสั่งใครรับไปปฏิบัติ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะรู้อยู่เต็มอก

จ่าเพียรเข้ามาทวงความเป็นธรรมกับผู้บังคับบัญชาถึง กทม. ขอเข้าพบนายกฯอภิสิทธิ์ แต่ต้องพบกับความผิดหวังกลับไป เพราะไม่ได้พบนายกฯอย่างที่หวังไว้ จ่าเพียรกลับไปแถลงข่าวทั้งน้ำตาลูกผู้ชายด้วยความคับแค้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากการอุทิศชีวิตรับใช้ประเทศชาติอย่างกล้าหาญ

คำพูดของจ่าเพียร เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่อัปยศที่สุด ทุจริตมากที่สุด และไร้ศักดิ์ศรีมากที่สุด อาจจะไม่สามารถกระตุ้นจิตสำนึกของผู้บังคับบัญชาได้

เรื่องเล่าที่อัปยศกว่านั้นก็คือ ระหว่างทำพิธีรดน้ำศพจ่าเพียรที่ อ.บันนังสตา ได้มีคำสั่งให้นำร่างไร้วิญญาณของจ่าเพียรไปที่ จ.สงขลา เพื่อให้นายกฯอภิสิทธิ์ได้มาร่วมพิธีสวดอภิธรรมศพ ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตรที่ต้องนำร่างของจ่าเพียรเคลื่อนย้ายไป สร้างความผิดหวังให้กับชาวบ้านบันนังสตาอย่างมาก

วันเดียวยังไม่กล้ามาเหยียบบันนังสตา แต่จ่าเพียรต้องใช้ชีวิตเสี่ยงอยู่ที่นี่ถึง 30 กว่าปี ยุติธรรมหรือไม่ ว่ากันว่าพิธีสวดพระอภิธรรมศพวันนั้นหลังนายกฯเดินทางกลับแล้ว บรรดาข้าราชการที่มาต้อนรับเอาหน้าก็เผ่นกลับกันหมด เหลือแต่ครอบครัวจ่าเพียรตามลำพัง หรือ คุณค่าของวีรบุรุษ ก็มีอยู่แค่นี้เอง.

หมัดเหล็ก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thairath.co.th/column/pol/kaablook/71403

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP