เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

แซยิด คือ ?

แซยิดหรือจอแซยิดเป็นประเพณีจีนอย่างหนึ่ง ความหมายของคำที่เรียกนี้คือการทำกิจการในวันคล้ายวันเกิดหรืองานเลี้ยงฉลองวันเกิด สำหรับคนไทย จะเป็นการทำบุญเมื่ออายุ 60 ปี บริบูรณ์ จะมีการหาอาหารดี ๆ รสอร่อยรับประทานกัน การทำแซยิดนอกจากจะทำกันในหมู่ชาวจีนทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพตามฐานะของเขา ที่จะทำได้แล้ว คนไทยที่มีฐานะก็ได้รับคตินิยมดังกล่าวมากระทำด้วย

การทำแซยิดในราชสำนัก

การทำแซยิดในประเทศจีน พระเจ้าแผ่นดินก็ทำแซยิด และได้ถือเป็นพระราชประเพณีที่กระทำสืบเนื่องกันมาหลายราชวงศ์ พระราชพิธีแซยิดเริ่มในสมัยราชวงศ์ถัง โดยกษัตริย์ของราชวงศ์นี้พระองค์หนึ่งได้ทรงบัญญัติพระราชพิธีเชยชิวเจี้ยดขึ้น ต่อจากนั้นกษัตริย์ที่สืบสันตติวงศ์ถังก็ทรงกระทำพระราชพิธีนั้นสืบเนื่องไปทุกพระองค์ จนสิ้นราชวงศ์ถังแล้วกษัตริย์ราชวงศ์ชิงก็ได้ถือปฏิบัติต่อมาจนกระทั่งถึงราชวงศ์หงวนจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีเชยชิวเจี้ยดเป็นบ้วนซิ่วเจี้ยดอยู่ครั้งหนึ่ง

คำว่าเชยชิวเจี้ยด หรือ บ้วนซิ่วเจี้ยดก็ดี ก็มีความหมายว่า สารทพระชนม์ยืนยาว ซึ่งหมายถึงเฉลิมพระชนมพรรษานั่นเอง แต่ไม่ช้าพระราชพีที่ได้ชื่อตามที่กล่าวนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคำอื่นอีก จนถึงราชวงศ์หมิงรัชกาลพระเจ้าเม่งสี่จงได้ทรงย้อนกลับไปใช้คำว่าบ้วนซิ่วเจี้ยดเป็นนามพระราชพิธีนั้นสืบเนื่องไปถึงสมัยราชวงศ์ชิง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระราชพิธีบ้วนซิ่วเจี้ยดก็เลิกล้มไป แต่ลัทธิธรรมเนียมจ้อแซยิดยังคงนิยมทำกันอยู่ต่อมา

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/แซยิด

สัญญานและอาการของคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก

สัญญานและอาการของคนที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ ชนิด A 2009 H1N1 ที่ระบาดในประเทศเม็กซิโก

อาการของไข้หวัดหมูในคนนั้นมีอาการคล้ายกันกับอาการของคนที่เป็นหวัดปกติ และมีอาการต่อไปนี้คือ มีไข้ ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศรีษะ หนาว และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน และในอดีตมีรายงานว่าผู้ป่วยหลายคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นปอดบวม และ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เช่นเดียวกันกับหวัด ที่ไข้หวัดหมูอาจจะแย่ลงจนต้องมีสภาพการเรื้อรัง
ผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูควรได้รับการพิจารณาถึงศักยภาพในการติดเชื้อ ระยะเวลาความยาวนานของการฟักเชื้อจนมีอาการ และความเป็นไปได้ของอาการป่วยที่ยาวนานถึง 7 วัน เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจได้รับเชื้อเป็นเวลานาน

สัญญานเติอนภัยที่จะบ่งบอกถึงการต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่ต้องสังเกตมีดังนี้ ในเด็ก หากเด็กมีอาการหายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก ผิวหนังเป็นจ้ำสีน้ำเงิน ดื่มน้ำน้อยไม่เพียงพอ ปลุกไม่ตื่น หรือไม่มีอาการตอบสนอง มีอาการงอแงไม่ยอมให้อุ้ม มีไข้เฉียบพลัน หรือมีอาหารหวัด ไออย่างรุนแรง หากมีอาการเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที ในผู้ใหญ่ สัญญานเตือนภัยที่จะต้องรีบรักษาเช่นกันคือ อาการหายใจลำบาก หรือหายใจถี่ เจ็บ แน่นหน้าอกหรือช่องท้อง วิงเวียน หน้ามืด และอาเจียนอย่างรุนแรง หรืออาเจียนเป็นเลือด หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วน

โอกาสในการรับเชื้อ

การกระจายและการติดเชื้อของเชื้อไข้หวัดหมูมี 2 ทาง คือ ทางแรก เกิดจาการสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อ หรือการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู ทางที่สอง การเกิดจากสัมผัสระหว่างคนกับคนที่ติดเชื้อ การกระจายและติดเชื้อระหว่างคนสู่คนนั้นได้มีการมีบันทึกไว้ และ ถูกคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูที่มีไข้หวัดระบาด (Seasonal flu) สาเหตุให้ที่จะทำให้เชื้อแพร่กระจายจากคนสู่คนถือการไอ หรือจาม ของผู้ติดเชื้อ

จะรักษาอย่างไร?

ยาที่จะใช้รักษาอาการไข้หวัดหมูนั้น CDC แนะนำให้ใช้ตัวยา oseltamivir หรือ zanamivir (ทางที่ดีอย่าซื้อกินเอง ควรไปพบแพทย์ค่ะ...ผู้เขียน) สำหรับการบำบัดรักษา การป้องกันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสนี้ ยาต้านไวรัส (Antivirus drug) ตามคำสั่งยาของแพทย์ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาน้ำ หรือ ยาชนิดสูดดม ที่มีฤทธิ์ต้านหวัดช่วยได้โดยการป้องกันการเจริญและพิ่มจำนวนในร่างกาย (ยังคงมีไวสหลงเหลือในร่างกาย) ถ้าหากมีอาการป่วย ยาต้านไวรัสเหล่านี้สามารถทำให้อาการป่วยลดลงและสามารถทำให้รู้สึกดีขึ้นเร็วขึ้น และอาจใช้ป้องกันอาการหวัดที่รุนแรงได้ สำหรับการรักษานั้นยาต้านไวรัสทำงานได้ดีที่สุดถ้าใช้ตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 2 วันแรกที่มีอาการเหมือนเชื้อหวัด..ไม่มีวัคซีนในการรักษา อย่างไรก็ตามหากการกระทำใดๆในชีวิตประจำวันที่ผู้คนสามารถใช้ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจได้ก็สามารถนำมาใช้ป้องกันเชื้อไขหวัดหมูนี้ได้

ข้อแนะนำตามขั้นตอนพึงปฏิบัติเป็นประจำทุกวันเพื่อปกป้องสุขภาพของตัวคุณเอง ดังต่อไปนี้

1. ใช้กระดาษทิชชูปิดจมูกและปากของคุณเมื่อไอ หรือจาม และทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิดหลังการใช้ทันที

2. ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ หรือล้างด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ (เช่นเจลล้างมือ) บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังการไอ หรือ จาม

3. พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะ และสัมผัสกับผู้ป่วย ถ้าหากป่วยเป็นหวัดควรหยุดพักอยู่บ้าน เพื่อจำกัดการพบปะผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก หรือ ปาก เพราะเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายทางอวัยวะเหล่านี้ได้

ประชาชนยังไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลกับการจัดเตรียมและรับประทานเนื้อหมู เช้อไวรัสไข้หวัดหมูนี้ไม่สามารถแพร่กระจายได้ทางอาหาร อนึ่งการรับประทานเนื้อหมูที่ผ่านการเตรียมที่ดีและผ่านการปรุงสุกจะช่วยให้มีความปลอดภัยจากเชื้อโรคนี้


ขอบคุณที่มา www.oknation.net/blog สุขภาพและความงาม

ล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข คลิก

ความจริงเรื่องไข้หวัด 2009 จากคุณ หล่อใสไร้รัก

'หน้ากากอนามัย' ใส่ให้เป็น

เทรนด์กิ๊บเก๋...ป้องกันโรค

ฮัดเช้ยยยย...!! ช่วงนี้





จะไอจามตามพื้นที่สาธารณะต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนอยู่เสมอ เพราะหน้าฝนนี้นอกจากจะเสี่ยงเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้ว ยังต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั่วโลก ยิ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ใน ประเทศเพิ่มขึ้น หลายคนยิ่งหวาดกลัว แม้ผู้รู้หลายท่านออกมาชี้แจงว่า สามารถหายเองได้เหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้โรคภัยไข้เจ็บมา กล้ำกราย หน้ากากอนามัยจึงเสมือน “เกราะป้องกันโรค” ซึ่งกำลัง “ฮอตฮิต” ขณะเดียวกันหากมีไว้ใช้งาน แต่ไม่รู้วิธีใช้อย่างถูกสุขลักษณะ “หน้ากากอนามัย” อาจกลายเป็น “หน้า กากสะสมเชื้อร้าย” ก็เป็นได้

นพ.สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เล่าถึงการใช้หน้ากากอนามัยให้ “กิ๊บเก๋” และป้องกันอย่างถูกต้องว่า ความจริงการใช้หน้ากากอนามัย มีไว้ให้ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดและ ผู้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจใช้ เพราะหากผู้ป่วยไอจามในที่ชุมชนจะทำให้ผู้อื่น ติดได้ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า ผู้ป่วยไอ 1 ครั้งสามารถแพร่เชื้อได้ไกลถึง 1 เมตร “วิวัฒนาการของหน้ากากอนามัยเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อ 90 ปีก่อน เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน ส่วนในไทยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้รับสั่งให้นำมาใช้ทางการแพทย์ปี พ.ศ. 2463” ส่วนการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ผู้ป่วยควรสวมใส่หน้ากากป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้รับเชื้อ เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมที่ผู้ป่วยทุกคนควรให้ความสำคัญ ซึ่ง หน้ากากอนามัยที่นิยมใช้ มี 2 ประเภทคือ 1.หน้ากาก ผ่าตัด ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด ป้องกันเชื้อโรคได้ 5 ไมครอน หรือป้องกันได้ร้อยละ 80 มีอายุการใช้งานประมาณ 3 วัน หากเกิดการฉีกขาดและมีรอยเปื้อนควรทิ้งทันที การสวมใส่ต้องนำด้านที่มีสีเข้มออกทางข้างนอก หรือสังเกตจากรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง ซึ่งหากใส่ผิดรอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก หน้ากากแบบที่ 2 คือ N95 ป้องกันเชื้อโรคได้ 0.3 ไมครอน กรองได้ละเอียดกว่าชนิดแรก หน้ากากมีแบบชนิดที่มีวาล์วเพื่อให้หายใจได้สะดวก ส่วนชนิดที่ไม่มีวาล์วได้รับความนิยมเพราะราคาถูก แต่มีข้อเสียอยู่ที่หากใส่ไปนาน ๆ ทำให้หายใจลำบาก จึงไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใส่ เพราะอาจทำให้เด็กเสียชีวิต ขณะเดียวกันหากชำรุดหรือเห็นสภาพไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ควรทิ้งทันที “ก่อนใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งต้องล้างมือให้สะอาดก่อน และเมื่อทำการสวมใส่ควรหลีกเลี่ยงให้มือไปสัมผัสกับเนื้อผ้าบริเวณด้านในที่แนบกับจมูกและปาก เพราะในมืออาจมีเชื้อโรคทำให้เข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นการสวมหน้ากากแบบผ่าตัดต้องจับสายด้านข้างดึงแล้วร้อยกับหู ส่วนแบบ N95 ควรจับบริเวณด้านนอกเพื่อประคองและดึงสายสวม” นอกจากนี้ การสวมใส่อย่างถูกวิธีเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ใช้หน้ากากอนามัยควรให้ความใส่ใจ โดย นพ.สมชัย กล่าวว่า ควรใส่ให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง เพื่อป้องกันเชื้อร้ายที่แฝงตัวมากับอากาศเข้าสู่ร่างกาย ขณะเดียวกันหลายคนอาจเกรงกลัวจนต้องดึงสายรัดให้แน่นมากที่ สุดนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเพราะ ทำให้หายใจไม่สะดวก ในความเป็นจริงผู้ใส่ควรดัดเหล็กที่เป็นโครงให้เข้า กับดั้งจมูกให้แนบสนิท เนื่องจากเป็นจุดเสี่ยง ที่เชื้อโรคจะเข้าสู่จมูกได้ง่าย ขณะเดียวกันเมื่อใส่หน้ากากอนามัยแล้วไม่ควรล้วงหรือเกาบริเวณที่ผ้าปิดอยู่ จะทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับมือเข้าไปภายใต้หน้ากาก อนามัยได้ อย่างไรก็ตาม จากความต้องการของประชาชนในการเลือกซื้อหน้ากากอนามัยที่เพิ่มมากขึ้นทำให้หน้ากากผ่าตัดจาก ราคาไม่เกินแผ่นละ 5 บาท ถีบตัวสูงขึ้นอยู่ที่แผ่นละเกือบ 20 บาท ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอซื้อมาใช้ได้ทุกวัน นพ.สมชัย แนะนำว่า การประดิษฐ์หน้ากาก อนามัยผ้าขึ้นมาเองก็สามารถ ช่วยป้องกันได้ 80% โดยใช้วัสดุเช่น ผ้าสาลู ผ้าฝ้าย ผ้ายืด ผ้าอ้อมเด็ก ผ้าถุง เป็นต้น ทำให้ประหยัดเงินได้อย่างมากเพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อย ๆ หน้ากากที่ผลิตเองสามารถนำมาซักใช้ใหม่ได้ โดย การประดิษฐ์หน้า กากอนามัยขึ้นใช้งาน เหมาะกับเด็ก ๆ ที่ชอบลายการ์ตูนสวยงามสามารถนำผ้าลวดลายต่าง ๆ มาใช้ในการทำ หรือเพนท์รูปภาพเล็กน้อย เพราะหากใช้สีระบาย จนทึบไปหมดจะทำให้เด็กหายใจไม่สะดวก ขณะเดียวกันอาจนำสติกเกอร์มาตกแต่งได้เช่นกัน “ประเทศญี่ปุ่นเมื่อผู้ป่วยรู้ว่าไม่สบายเขาจะใส่หน้ากาก อนามัยทุกช่วงเวลาเพื่อไม่ให้ไปติดผู้อื่น ส่วนในสหรัฐอเมริกาวัฒนธรรมด้านสุขอนามัยจะชอบล้างมือบ่อยมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยากให้คนไทยนำมาปฏิบัติจนเป็นวัฒนธรรมด้านสุขอนามัยอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต”

นพ.สมชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า การดูแลร่างกายให้แข็งแรงเป็นภูมิต้านทานที่ดีที่สุด ควรหลีกเลี่ยงไปในสถานที่ชุมชนหากมีอาการเป็นไข้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และรีบไปพบแพทย์ ส่วนเด็ก ๆ หากไม่มีหน้ากาก อนามัยไม่ควรพาไปในที่ชุมชนเพราะอาจเสี่ยงต่อการติดโรคได้ ไม่แน่อนาคตหน้ากากอนามัยในไทยอาจเป็นมากกว่า “เกราะป้องกัน” เพราะไม่ว่าใครก็สามารถทำหน้ากากอนามัยขึ้นมาตอบสนองจินตนาการของตัวเองได้.

ขั้นตอนการทำหน้ากากอนามัย

1. นำผ้าที่เตรียมไว้มาพับครึ่งตามความยาวผ้าแล้วพับจับจีบทวิช 1 นิ้ว ตรงกลางผ้ากลัดด้วยหมุดหรือเนาตรึงไว้ (ตามภาพที่ 1-5) และทำอีกชิ้นเช่นเดียวกัน 2. นำผ้าที่พับไว้มาวาง โดยหันด้านนอกขึ้น และนำยางยืดมาวางที่มุมผ้าด้านกว้างข้างบนและข้างล่างด้านละ 1 เส้น กลัดเข็มหมุดหรือเนาตรึงไว้ (ตามภาพที่ 6)

3. นำผ้าที่พับไว้อีกชั้นมาวางซ้อนกับผ้าชิ้นแรกที่ตรึงยางยืดไว้ โดยหันผ้าด้านนอกชนกัน แล้วเย็บจักรหรือด้นถอยหลังรอบผ้าสี่เหลี่ยมให้ห่างจากริมผ้าด้านละครึ่งเซนติเมตร โดยเว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บประมาณ 1 นิ้ว (ตามภาพที่ 7)

4. ขลิบผ้าตรงมุมทั้ง 4 มุม ให้ใกล้กับรอยเย็บ เพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้เรียบร้อยสวยงาม (ตามภาพที่ 8)

5. สอยปิดช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย (ตามภาพที่ 9)

ศราวุธ ดีหมื่นไวย์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เดลินิวส์
ดูภาพขนาดใหญ่

โปสเตอร์วิธีใช้หน้ากากอนามัย

ไมโครซอฟท์ เตือนผู้ใช้ระวัง รูรั่วใหม่ใน IE


ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ออกประกาศเตือนภัยผู้ใช้โปรแกรมอินเทอร์เน็ตเบราเซอร์ Internet Explorer หรือ IE บนระบบปฏิบัติการ Windows XP หรือ Windows Server 2003 ให้ระวังข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ที่อาจทำให้ผู้ประสงค์ร้ายสามารถเจาะระบบและควบคุมคอมพิวเตอร์ได้จากระยะไกล

ไมโครซอฟท์ประกาศเตือนผู้ใช้บนเว็บไซต์ของบริษัทว่า ข้อบกพร่องใน IE ที่พบนั้นอยู่ที่ส่วนควบคุมการแสดง บันทึก และแคปเจอร์เพื่อจับภาพเคลื่อนไหวหรือ ActiveX Video Control โดยไมโครซอฟท์ระบุว่า ผู้ใช้ควรปิดการทำงานของฟีเจอร์ดังกล่าวก่อนในช่วงที่ไมโครซอฟท์ยังแก้ไขข้อบกพร่องไม่เสร็จดี

ไมโครซอฟท์ระบุว่าการเตือนภัยครั้งนี้อยู่ในระดับตึงเครียด เพราะไมโครซอฟท์สามารถตรวจพบความพยายามของนักเจาะระบบที่ต้องการใช้ข้อบกพร่องนี้เป็นช่องทางในการจู่โจมแล้ว โดยขณะนี้ไมโครซอฟท์กำลังเร่งมือประสานงานกับบริษัทพันธมิตรในการแก้ปัญหาใน ActiveX Video Control ที่เกิดขึ้น และข้อบกพร่องดังกล่าวยังมีผลกับโปรแกรมเล่นมัลติมีเดียของวินโดวส์อย่าง Windows Media Center ด้วย

หากไม่ปิด ActiveX Video Control จะมีโอกาสสูงมากที่ชุดโปรแกรมร้ายของนักเจาะระบบซึ่งถูกซ่อนไว้ตามเว็บไซต์ จะสามารถแทรกตัวเพื่อติดตั้งตัวเองลงในเครื่องและประมวลผลจนทำให้คอมพิวเตอร์ถูกควบคุมได้จากระยะไกล ซึ่งเมื่อนั้น นักเจาะระบบจะสามารถเข้ามาขโมยข้อมูลส่วนใดในคอมพิวเตอร์ก็ได้ แถมยังสามารถติดตั้งโปรแกรมใหม่ และลบข้อมูลทิ้งได้ด้วยสิทธิ์เดียวกับเจ้าของเครื่อง

นอกจากจะปิดฟังก์ชันดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญประกาศเตือนให้ผู้ใช้อย่าหลงกลคลิกเข้าสู่เว็บไซต์แปลกหน้าตามลิงก์ที่ส่งมาตามอีเมล เนื่องจากเว็บไซต์เหล่านี้มักจะมีโปรแกรมร้ายฝังอยู่

สำหรับการปิด ActiveX Video Control ไมโครซอฟท์อำนวยความสะดวกด้วยการทำปุ่ม "Fix it" ที่เว็บไซต์ของบริษัท โดยให้ข้อมูลสำหรับผู้ที่ต้องการปิดการทำงานด้วยตัวเองไว้ด้วย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.zabzaa.com/news/technology/view.php?id=176

กูเกิลโชว์แผน Google Chrome OS ลุยระบบปฏิบัติการ สำหรับพีซี

หลังจากเปิดตัวระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา กูเกิล (Google) ประกาศว่ากำลังพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะนี้ เท่ากับการเป็นคู่แข่งระหว่างกูเกิลและไมโครซอฟท์ (Microsoft) จะทวีความเข้มข้นขึ้นอีกในอนาคต

กูเกิลแถลงว่าระบบปฏิบัติการของกูเกิลจะมีพื้นฐานอยู่บนเว็บเบราเซอร์ "โครม (Chrome)" ใช้ชื่อเรียกในขณะนี้ว่า Google Chrome OS โดยจะสร้างด้วยชุดคำสั่งมาตรฐานเปิด กลุ่มเป้าหมายสำคัญคือคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊ก (คอมพิวเตอร์พกพาตัวเล็กที่มีราคาต่ำกว่า คุณสมบัติน้อยกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก)

กูเกิลระบุว่าต้องการคิดใหม่ว่าระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่แท้จริงควรจะเป็นอย่างไร โดยคาดว่าคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กระบบปฏิบัติการกูเกิลจะสามารถเริ่มวางตลาดได้ในช่วงกลางปีหน้า

จุดสำคัญที่กูเกิลจะพัฒนาให้ Google Chrome OS คือความเร็ว ความง่าย และความปลอดภัย โดยกูเกิลยืนยันว่าจะพัฒนาให้ระบบปฏิบัติการสามารถทำงานได้เร็วและไม่กินทรัพยากรมาก ตั้งเป้าว่าจะพัฒนาให้เครื่องสามารถเริ่มทำงานและเปิดเว็บเพจบนโลกออนไลน์ได้ใน 2-3 วินาที

กูเกิลบอกว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้มาจากแนวคิดที่ว่า คอมพิวเตอร์จำเป็นต้องดีกว่านี้

"เพราะผู้บริโภคต้องการให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วเหมือนตอนแรกที่ซื้อมา พวกเขาต้องการเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตได้แบบทันที ซึ่งตอนนี้ เราต้องการความช่วยเหลือจากสังคมโอเพ่นซอร์สอย่างมากในการทำให้วิสัยทัศน์นี้ประสบความสำเร็จ"

กูเกิลยืนยันว่า Google Chrome OS จะเป็นคนละส่วนกับระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่นามแอนดรอยด์ (Android) ไม่ระบุรายละเอีอยดทีมนักพัฒนา แต่เชื่อว่ามีจุดยืนใกล้เคียงกัน

"Google Chrome OS ถูกสร้างเพื่อคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโลกออนไลน์ และถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการจัดการพลังงานทุกระดับในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เน็ตบุ๊กขนาดเล็กจนถึงคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเต็มรูปแบบ ที่สำคัญ การสร้างแอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ตจะไม่ต้องถูกจำกัดเพราะมาตรฐานของระบบปฏิบัติการอีกต่อไป"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.zabzaa.com/news/technology/view.php?id=177

โหมข่าวลือ PSP2 ตัวจริง ใช้ชิป PowerVR ไฮดรา

ไม่ใช่ภาพ PSP2 ตามข่าว

หากใครยังจำข่าวลือที่เว็บไซต์ eurogamer.net เคยอ้างเมื่อปี 2008 ว่า หลังจากบริษัทโซนี่ คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ปล่อยเครื่องเล่นเกมพกพา “PSP” โมเดลใหม่ช่วงปลายปีนี้ (ข่าวนี้เป็นจริงในเวลาต่อมากับ “PSP go” จอสไลด์ ไร้ไดร์ฟ UMD)ถัดจากนั้นถึงจะเป็นคิวของเครื่อง “PSP2” ล่าสุดเว็บ Eurogamer.es ได้ตอกย้ำข่าวนี้อีกครั้ง ด้วยการเปิดเผยตัวโปรเซสเซอร์ที่เป็นหัวใจหลักของเครื่อง PSP ตัวใหม่ให้เราได้ทราบกันอีก

Eurogamer ขยายความเรื่องดังกล่าวว่า เครื่อง PSP2 นั้นจะใช้บริการของผู้ผลิตชิปกราฟิก(GPU)สถาปัตยกรรมเดียวกับตัวที่ชื่อ “SGX543MP” จาก PowerVR ซึ่งเป็นแผนกที่พัฒนาชิป GPU ของทางบริษัท Imagination Technologies ผู้เชี่ยวชาญเจ้าหนึ่งในการผลิตชิปในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

รายงานข่าวระบุว่า มีเน็ตบุ๊ก Dell Inspiron Mini 12 ได้ใช้ชิป SGX543MP แบบซิงเกิ้ล-คอร์ติดตั้งลงไป ซึ่งเคยนำไปโชว์ตัวที่งาน CES 2009 มาแล้ว โดยนำเกม Quake III มาใช้พิสูจน์ความสามารถ แสดงผลภาพได้ 30 เฟรมต่อวินาที ทั้งนี้ เว็บ Eurogamer อ้างว่า เครื่อง PSP2 จะรองรับแบบ quad core กินไฟน้อย และใช้ชื่อโค้ด-เนมว่า “ไฮดรา” (Hydra) สามารถใช้เป็นได้ทั้งโปรเซสเซอร์หลักและกราฟิก มันสามารถรัน 133 ล้านโพลิกอนต่อวินาที และ 4 กิกะพิกเซลต่อวินาที พร้อมคุยว่ามันเจ๋งกว่าชิปกราฟิกของ Xbox รุ่นแรก

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า ชิป SGX543MP เป็นตัวที่ช่วยให้ iPhone แสดงผลภาพแบบ HD และถูกนำมาใช้ใน iPhone 3GS ปัจจุบันแอปเปิลถือหุ้นอยู่ใน Imagination Technologies อยู่เกือบ 10 %

ภาพที่แฟนเกมลองออกแบบเครื่อง PSP ตัวใหม่ให้เห็นกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เกม

ประธานโซนี่ย้ำชัด ลดราคา PS3 เป็นการคิด แบบระยะสั้น

ยังคงมีกระแสอย่างต่อเนื่องสำหรับประเด็นราคาเครื่องคอนโซล PlayStation3 เมื่อประธานโซนี่อเมริกาออกมายืนยันว่า ได้ดำเนินแผนทางการตลาดที่ถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ในระยะยาว ท่ามกลางแรงกดดันจากหลายฝ่ายให้มีการลดราคา

แจ็ค เทร็ตตัน ประธานบริษัทโซนี่คอมพิวเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนท์ อเมริกา กล่าวว่า ผู้คนทั่วไปมักจะคิดแต่เพียงเรื่องผลประโยชน์ระยะสั้นๆ ทั้งๆที่เครื่องนี้ยังมีอายุการใช้งานไม่ถึง 3 ปีเลยด้วยซ้ำ แถมเมื่อก่อนตั้งราคาไว้ที่ 599 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เดี๋ยวนี้เหลือแค่ 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ

"การมุ่งเป้าไปที่ราคาเป็นเรื่องที่เรารู้ซึ้งเป็นอย่างดี แต่เราจำเป็นจะต้องมีความมั่นใจในสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวที่ยอดเยี่ยม ถึงตอนนั้นเราจะได้กลุ่มลูกค้าอย่างที่เราต้องการ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ลูกค้ามาทั้งหมดตั้งแต่วันแรก แต่เรากำลังมุ่งคว้าตัวพวกเขามาในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งนั่นจะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น" แจ็ค เทร็ตตัน กล่าว

"การมุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ระยะยาวเป็นสิ่งที่ทำได้ยากโดยเฉพาะในธุรกิจอุตสาหกรรมเกมที่ผู้คนมักจะพูดอยู่เสมอว่าเมื่อไหร่จะลดราคา เมื่อไหร่เครื่องรุ่นใหม่จะวางจำหน่าย จะพัฒนาเกมใหม่อะไรออกมา ผู้คนมักจะพูดว่าอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับวันนี้ ซึ่งผมคิดว่าทัศนคติเหล่านี้เป็นเหมือนบททดสอบที่สำคัญของเรา" แจ็ค เทร็ตตัน กล่าว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เกม

ฟุตซอลกระหึ่ม ติดอันดับ 10 โลก

ทีมฟุตซอลชาติไทยกระหึ่มโลก ล่าสุดมีการจัดอันดับโลกในฟุตซอลเวิลด์แรงกิ้งปรากฏว่า ได้ขยับมาอยู่อันดับ 10 มี 1,355 คะแนน ในการจัดอันดับล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา “บิ๊กป๋อม” อดิศักดิ์ เบญจศิริวรรณ ประธานพัฒนาฟุตซอลเป็นปลื้มเพราะทีมไทยยังไม่เคยทะลุถึง 10 อันดับแรกมาก่อนในประวัติศาสตร์ของเว็บไซต์นี้คาดผลงานถล่มอิหร่านล่าสุดกระชากอันดับให้ทีมไทย โดยวางเป้าจะแซงหน้าญี่ปุ่นที่อยู่อันดับ 9 ให้ได้ในการฟาดแข้งเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ที่เวียดนาม ตุลาคมนี้ จากการเปิดเผยของ http://www.futsalworldranking.be ซึ่งเป็นเว็บไซต์ฟุตซอลโลกที่มีมาตรฐานสูงสุดได้ทำการจัดอันดับโลกของวงการฟุตซอลเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า ทีมฟุตซอลชาติไทยได้ขยับมาติด 1 ใน 10 ของโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากที่ไม่เคยอยู่ในแรงกิ้งจนเข้าทำเนียบและเข้ามาติดอันดับ 13 ในการจัดอันดับเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2551 จากนั้นเมื่อต้นปีก็ได้เลื่อนมาอยู่อันดับ 11 และในการจัดล่าสุดวันที่ 6 ก.ค.52 ก็ติดอันดับ 10 มี 1,355 คะแนน โดยอันดับ 1 เป็นของบราซิลที่มี 1,967 คะแนน และล่าสุดก็เพิ่งได้แชมป์เวิลด์กรังด์ปรีซ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยการเอาชนะอิหร่านในนัดชิงชนะเลิศ 7-1 โดยอิหร่านนั้นติดอันดับ 6 มี 1,599 คะแนน ส่วนญี่ปุ่นอยู่อันดับ 9 มี 1412 คะแนน

โดย “บิ๊กป๋อม” อดิศักดิ์ เบญจศิริวรรณ ประธานพัฒนาฟุตซอลชาติไทย กล่าวว่า เว็บไซต์เวิลด์แรงกิ้งเป็นเว็บไซต์มาตรฐานโลกของวงการฟุตซอลเป็นที่เชื่อถือได้ การติด 1 ใน 10 ของโลกนับเป็นเรื่องน่ายินดีและภาคภูมิใจมาก เพราะเราไม่เคยติดมาก่อน ซึ่งก่อนนี้เคยได้อันดับดีที่สุดคืออันดับ 6 ในเว็บฟุตซอลแพลเน็ท แต่กับเวิลด์แรงกิ้งยังไม่ติด 1 ใน 10 ดีที่สุดก็แค่ 13 แล้วก็ขยับมา 11 อย่างไม่เป็นทางการ

โดยการเลื่อนอันดับล่าสุดนั้นน่าจะมาจากการอุ่นเครื่องล่าสุดที่เราเอาชนะอิหร่านได้จึงทำให้อันดับเราเลื่อนขึ้นมา โดยเป้าหมายต่อไปของเราคือการแซงทีมญี่ปุ่นให้ได้ โดยการเก็บคะแนนที่สำคัญคือทัวร์นาเมนต์ เอเชี่ยน อินดอร์เกมส์ ซึ่งเป็นแมตช์อย่างเป็นทางการ เราจะต้องทำผลงานให้ดีที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บ้านเมือง

10 วิธีง่ายๆ ห่างไกลไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่


10 วิธีง่ายๆ ห่างไกลไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่ (ข่าวสด)

ท่ามกลางภาวะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดลามไปทั่วโลก นิตยสาร "สรรสาระ" ฉบับเดือนกรกฎาคม นำเสนอบทความแนะนำ 23 วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรคไข้หวัดใหญ่ โดยรวบรวมข้อมูลมาจากงานวิจัยทั่วโลก และวันนี้ขออนุญาตดึงเทคนิคบางส่วนสัก 10 ข้อที่ปฏิบัติง่ายๆ มาบอกต่อ...

1. ล้างมือบ่อยๆ โดยก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยสุขภาพของกองทัพสหรัฐพบว่า คนล้างมือวันละ 5 ครั้ง ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่และโรคทางเดินหายใจลดลงร้อยละ 45 และควรล้างมือซ้ำ 2 รอบ

2. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี

3. พกเจลล้างมือฆ่าเชื้อติดตัว

4. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมโรค หรือถ้าจะให้ดีเปลี่ยนทุกครั้งหลังป่วยเป็นไข้ ป้องกันติดเชื้อซ้ำ

5. กินกระเทียมทุกวัน

6. ฝึกสมาธิวันละครั้ง ช่วยลดความเครียด ทั้งนี้ มีผลวิจัยชี้ว่าคนมีความเครียดป่วยเป็นไข้หวัดบ่อยกว่าคนไม่มีความเครียด สะสมถึง 2 เท่า

7. ใช้มือ กระดาษ หรือผ้าปิดจมูกปิดปากทุกครั้งที่จาม ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค

8. เปลี่ยนหรือซักผ้าเช็ดมือทุก 3-4 วัน ในช่วงที่มีไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ระบาด และซักด้วยน้ำร้อน

9. อย่ากินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง

10. กีฬาๆ คือยาวิเศษ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNekEzTURjMU1nPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB3Tnc9PQ==
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
http://www.ricd.go.th/smarten/img_smarten/607516314182121995486492181393.jpg

จัมพ์แบต เรื่องง่ายๆ ที่ทำไม่ยาก










ขั้นตอนที่ 1 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ








เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
























ขั้นตอนที่ 2 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่รถที่มีไฟ


นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ “GS แบตเตอรี่” ให้คำแนะนำว่าปัญหาของแบตเตอรี่หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสายต่อไดชาร์จหลวม น้ำกลั่นหมด แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือกำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง
























ขั้นตอนที่ 3 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ที่มีไฟ


“การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่ มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่ จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”

**วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**

เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถและขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อแน่นหนา
























ขั้นตอนที่ 4 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ


ต่อจากนั้นนำสายหัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่ ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ

จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+) จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
























ขั้นตอนที่ 5 สตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มจากรถที่แบตเตอรี่มีไฟก่อน


**ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**

- ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
- เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
- ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
- ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
- ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่ หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน















สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย :
cars




Tags :
จัมพ์แบตเตอรี่ เครื่องยนต์

















10 ข้อ น่าตะลึง เกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์




ฮาร์ดดิสก์ขนาด 0.85 นิ้วของโตชิบาที่มีความจุ 4GB ถือเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดจิ๋วที่สุดในโลก

ฮาร์ดดิสก์ – อุปกรณ์ที่ทุกคนมีและรู้จักมันเป็นอย่างดี แต่เกล็ดเกี่ยวกับอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกที่เราจะนำมาบอกให้คุณทราบต่อไปนี้ รับรองว่าน่าสนใจและสร้างความตะลึงให้กับคุณได้อย่างแน่นอน

[1] ข้อมูลทะลักโลก: 988,000,000,000,000 เมกะไบต์

จากผลสำรวจที่ IDC ประกาศให้ทราบเกี่ยวกับปริมาณข้อมูลทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้บนฮาร์ดดิสก์ทั่วโลกในปี 2006 ว่ามีจำนวนถึง 161 Exabytes นั้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2010 ปริมาณข้อมูลจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 988 Exabytes หรือเกือบหนึ่งพันล้านล้านเมกะไบต์!

[2] ขนาดที่แท้จริง

ทั้งๆ ที่เราเห็นและสามารถจับต้องฮาร์ดดิสก์ได้แต่ภายนอก แต่ไม่รู้ว่าผู้ผลิตจะอ้างตัวเลขที่เป็นขนาดของจานแม่เหล็กที่อยู่ภายในไปทำไม ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วที่จริงๆ แล้วตัวบอดี้ของมันจะมีความกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร หรือ 3.937 นิ้ว

[3] ฮาร์ดดิสก์ตัวแรกของโลก

ในปี 1956 หน่วยเก็บข้อมูลที่มีชื่อว่า IBM 350 ถูกสร้างขึ้นเพื่อบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM 305 RAMAC โดยมีหัว 2 หัวทำหน้าที่อ่าน-เขียนข้อมูลบนแผ่นจานแม่เหล็กขนาด 24 นิ้วจำนวน 50 แผ่นที่หมุนด้วยความเร็ว 1200 รอบต่อนาที ซึ่งทั้งหมดนี้ให้พื้นที่เก็บข้อมูลเพียง 4.4MB เท่านั้น

[4] บกพร่องโดยสุจริต

การคำนวณขนาดของฮาร์ดดิสก์นั้น ทางฝั่งของผู้ผลิตจะอิงขนาดด้วยตัวเลขฐาน 10 เป็นพื้นฐาน โดยหนึ่งกิกะไบต์จะเท่ากับ 10^9 ไบต์ ในขณะที่คอมพิวเตอร์จะทำงานบนพื้นฐานของเลขฐาน 2 ดังนั้นหนึ่งกิกะไบต์จึงเท่ากับ 2^30 หรือ 1,073,741,824 ไบต์ ด้วยเหตุนี้ ในความเป็นจริงฮาร์ดดิสก์ขนาด 250GB จะมีขนาดเพียง 232GB เท่านั้น

[5] กฏของมัวร์ รวมถึงฮาร์ดดิสก์ด้วย

ความจุสูงสุดของฮาร์ดดิสก์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 12 เดือน – เป็นปรากฏการณ์ที่เราจะได้เห็นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปมีความจุสูงถึง 1.5TB แล้ว

[6] ราคาสวนทางกับความจุ

ปัจจุบัน เงินแค่ 4 บาทก็สามารถแลกพื้นที่เก็บข้อมูลได้ถึง 1 กิกะไบต์แล้ว ในทางกลับกัน ฮาร์ดดิสก์ ST506 ขนาด 5.25” ความจุ 5.5MB ที่ Seagate เปิดตัวสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1980 นั้น มีราคาต่อความจุสูงถึง 12,500 บาทต่อ 1MB เลยทีเดียว

[7] ยิ่งนานยิ่งแน่น

ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลแบบแนวดิ่ง (Perpendicular Recording) ในปัจจุบันจะมีความหนาแน่นของข้อมูลต่อพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตรถึง 155Gb ซึ่งคิดเป็นอัตราที่สูงกว่าฮาร์ดดิสก์ตัวแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้วถึง 60 ล้านหน่วย

[8] เล็กที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ในงาน CES เมื่อเดือนมกราคม 2004 โตชิบาได้เผยโฉมฮาร์ดดิสก์ขนาด 0.85 นิ้วที่มีความจุ 4GB ซึ่งถือเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดจิ๋วที่สุดและได้รับการบันทึกสถิติ Guinness Book of World Record ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

[9] อายุยืน ต้อง 40 องศา

เมื่อปี 2007 ที่ผ่านมา Google ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์จำนวน 100,000 ตัวในศูนย์ข้อมูลของตัวเองและพบว่า ฮาร์ดดิสก์จะมีอายุการใช้งานนานขึ้นเมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส และไม่ว่าจะร้อนเกิน 45 หรือเย็นต่ำกว่า 30 องศา ก็ล้วนแต่ทำให้ฮาร์ดดิสก์มีอายุการทำงานสั้นลงทั้งสิ้น

[10] เล็กกว่าเส้นผม 5,000 เท่า

จงระวังอย่าทำตก! ฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันจะมีช่องว่างระหว่างหัวอ่าน-เขียนและพื้นผิวด้านบนของจานแม่เหล็กเพียงแค่ 10 นาโนเมตร ในขณะที่เส้นผมของคนเรานั้นจะมีความหนาประมาณ 50,000 นาโนเมตร

สามารถติดตามซีรีส์ 10 เรื่องน่ารู้ของโลกไอทีได้จากนิตยสาร CHIP




สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย : http://www.zabzaa.com/news/technology/view.php?id=173

Tags : ฮาร์ดดิสก์ โตชิบา

ลุงคิง เที่ยวไทยในราคา 500


ลุง 500 (ทีวีบูรพา)

"ลุงคิง" หรือ "คิง แซ่จู" ชายวัย 55 ปี ผู้รักการเดินทางท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ลุงคิงมีฉายาที่รู้จักกันดีในโลกไซเบอร์ คือ "ลุง 500" ฟังชื่อแล้วหลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่ามันเชื่อมโยงยังไงกับโจร 500 ความจริงแล้วฉายานี้มาจากการตั้งเป้าการเที่ยวแต่ละวันว่าจะใช้งบไปเกิน 500 บาท ซึ่งรวมทั้งค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าอาหาร และจิปาถะต่างๆ แต่ถ้าถามถึงความมุ่งมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว ต้องขอบอกว่าลุงแกใจเกิน 500 เลยทีเดียว เพราะรูปแบบการเที่ยวของลุงคิงไม่เหมือนคนทั่วๆ ไป ตรงที่แกจะมีรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจ นั่นคือเจ้าฮอนด้าเวฟ เป็นราชรถนำพาลุงไปทุกจังหวัดในประเทศไทยชนิดถึงไหนถึงกัน

แม้ทุกครั้งลุงคิงจะต้องเดินทางตามลำพังแต่มิตรภาพใหม่ๆที่แกได้รับตามราย ทางก็ช่วยปรุงแต่งให้การเดินทางมีสีสันและความสุขมากยิ่งขึ้น ลุงคิงเคยเป็นเชฟที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกามากว่า 14 ปี เมื่อลุงคิงเก็บเงินได้ก้อนใหญ่พอสมควรจึงตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ การกลับมาครั้งนี้ลุงคิงมุ่งมั่นที่จะผลักดันความฝันตั้งแต่วัยเด็กที่ว่า

"วันหนึ่งฉันจะต้องเที่ยวให้ทั่วประเทศไทย ด้วยรถมอเตอร์ไซด์เพราะเป็นอะไรที่มันท้าทายและน่าสนุก หลังจากที่เราดิ้นรนทำงานเหนื่อยมาทั้งชีวิต การออกเดินทางท่องเที่ยวมันก็เป็นการให้กำไรชีวิตอันล้ำค่าแก่ตัวเอง" ลุง 500 กล่าว

การเที่ยวของลุงคิงไม่เพียงแค่เก็บเกี่ยวความประทับใจ ใส่ลิ้นชักแห่งความทรงจำของตัวเองเท่านั้น แต่เรื่องราวความประทับใจเหล่านั้นยังถูกถ่ายทอดไปยังเพื่อนๆ ในโลกไซเบอร์ หลายต่อหลายคนที่อ่านเรื่องราวของลุงคิงแล้วเกิดแรงบันดาลใจที่จะออกเดิน ทางท่องเที่ยวแบบลุงคิงบ้าง

"ลุงอยากกระตุ้นให้คนที่มุ่งแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่เคยมีวันหยุดพักผ่อน ไม่เคยให้เวลากับตัวเอง ลองเปลี่ยนความคิดและทัศนคติใหม่ ลุงจะเน้นเสมอว่าชีวิตคนเรามันต้องมีหยุดพักเพื่อชาร์จแบตบ้าง คนเราเมื่อทำงานเหนื่อยก็ต้องรู้จักให้รางวัลแก่ตัวเองบ้าง อย่างน้อยๆ ก็พาตัวเองหลุดออกมาจากโลกเดิมๆ ที่ซ้ำซากจำเจ ออกมาเที่ยวเพื่อหาความสุขเล็กๆน้อยๆจากโลกใบใหม่ไปเติมเติมให้ชีวิตเรามัน มีสีสีน มีพลัง มีความสุข และเมื่อเรามีความสุขเราก็สามารถเอาความสุขตรงนี้ไปแบ่งปันคนรอบตัวเราได้อีกด้วย

คนเราต้องรู้จักรักตัวเองบ้าง ไม่ใช่รักแต่งาน รักแต่เงิน หายใจเข้า-ออกก็มีแต่งานๆๆๆ เงินๆๆๆ วันหนึ่งที่เราอยากจะเที่ยวมันก็อาจจะสายเกินไปเพราะร่างกายไม่อำนวยแล้ว การเที่ยวมันไม่ได้ยาก ไม่ได้เปลืองอะไรมากนะ แต่ละคนสามารถออกแบบการเที่ยวของตัวเองได้ โดยออกแบบให้เหมาะกับความพร้อมของแต่ละคน ตามแต่ว่าใครงบมาก งบน้อย เวลามาก-น้อย ฯลฯ จริงๆ แล้วเราสามารถจัดการได้ ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะทำจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่คิดว่าจะไป จะทำ สุดท้ายก็ได้แค่คิดเพราะเราไม่ลงมือทำอะไรซักอย่าง" ลุง 500 กล่าว

ปีๆ นึงลุงคิงจะออกเดินทางประมาณ 4 - 6 ทริป แต่ละทริปลุงคิงจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 - 20 วัน แกจะเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว ลุงคิงก็บ่ยั่น เพราะทุกสถานการณ์ลุงผ่านศึกมาหมดแล้ว ออกเดินทางแต่ละครั้งอุปกรณ์ที่เตรียมไปราวกับย้ายบ้านก็มิปาน ท้ายรถมอไซด์จะมีลังพลาสติกขนาดย่อมๆ สำหรับบรรทุกข้าวของ เสบียงอาหาร เสื้อผ้า พัดลม วิทยุ แบตเตอรี่ อุปกรณ์หุงหาอาหาร เต็นท์ ฯลฯ

และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือโน๊ตบุ๊ค เพราะเจ้านี่เป็นทั้งเพื่อนคลายเหงาและเป็น ทั้งตัวถ่ายทอดเรื่องราวการท่องเที่ยวของลุงคิง และทำให้การเดินทางของลุงคิงมีคุณค่าและความหมายมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะการเที่ยวแต่ละครั้งไม่ใช่เพื่อความสุขของตัวแกเองเท่านั้น แต่ลุงยังส่งผ่านความสุขที่ตัวเองได้รับไปให้คนอื่นๆอีกมากมาย และที่สำคัญความสุขที่ถูกส่งต่อจะมีคุณค่ามากขึ้นไปอีก ถ้ามันได้สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนเริ่มก้าวย่างสู่โลกของการเดินทาง ท่องเที่ยว

ร่วมเดินทางกับลุงคิงได้คืนนี้ (7 กรกฎาคม) ในรายการคนค้นฅน ตอนลุง 500 ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.15-23.00 น.


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.tvburabha.com/

ยอดเหยื่อมรณะเพิ่ม ตายแล้ว 9 ราย


ยอดเหยื่อมรณะเพิ่ม ตายแล้ว 9 ราย (เดลินิวส์)

วันนี้ (7 กรกฎาคม) นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนได้รับรายงานจากห้องปฏิบัติการ พบผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเอ ( เอช 1 เอ็น 1) ว่าขณะนี้มีเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รายแรกเป็นชาย อายุ 58 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม โดยพบภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จำเป็นต้องล้างไตอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากมีโรคประจำตัว

ส่วนรายต่อมา เป็นเด็กหญิง อายุ 8 ขวบ เสียชีวิตที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากพบเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวมาแล้ว 3- 4 ปี ที่ผ่านมาต้องใช้วิธีรักษาแบบเคมีบำบัด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่ามีผู้ที่เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดดังกล่าวแล้วรวม 9 ราย

ขณะที่ยอดผู้ป่วยสะสมในประเทศรวม 2,428 ราย รักษาหายแล้ว 2,381 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐและเอหกชนรวม 40 ราย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=38&contentID=6900

หวัด09ลามดารา หาม 'เป้ย' เข้าโรงหมอมีไข้สูง


ปานวาด เหมมณี

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ลามเข้าสู่วงการบันเทิงไทย ล่าสุดหาม "เป้ย-ปานวาด" เข้าโรงหมอ หลังมีไข้สูง คาดรู้ผลวันที่8ก.ค.นี้ อีกรายผวาหนัก"เกรซ" เดินทางพบแพทย์ฉีดยาป้องกัน ...

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (6 ก.ค.) ว่า ดาราสาวเซ็กซี่ เป้ย-ปานวาด เหมมณี ถูกหามส่งโรงพยาบาลกรุงเทพ หลังพบว่ามีไข้ขึ้นสูง อาการทรุด ซึ่งในขณะนี้แพทย์กำลังตรวจเช็คร่างกายว่าดาราสาวจะติดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ คาดว่าจะรู้ผลในวันที่ 8 ก.ค. นี้ โดยแพทย์ได้ฉีดยาให้ดาราสาวแล้ว

วันเดียวกัน มิสทีนไทยแลนด์ 2008 มะนาว-ศรศิลป์ มณีวรรณ์ ก็เสี่ยงติดไข้หวัด 2009 เช่นกัน โดยถูกนำตัวส่ง รพ.ลาดพร้าวหลังพบว่ามีอาการไข้ขึ้นสูง ส่วนนางเอกสาว เกรซ-กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า เดินทางพบแพทย์เพื่อฉีดยาป้องกันแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thairath.co.th/content/ent/17768

ตั้งข้อหาพธม.ก่อการร้ายสนามบิน กษิต-ปฐมพงษ์ โดน




สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันนี้ (5 กรกฎาคม) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ หนึ่งในผู้ที่ถูกออกหมายเรียกในคดีบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง กล่าวว่า บุคคลที่ถูกออกหมายเรียกทั้ง 2 คดี รวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จะไปรายงานพร้อมกันเวลา 09.00 น. ของวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ที่สโมสรตำรวจ โดยทุกคนไม่รู้สึกหนักใจและไม่กังวลกับการถูกดำเนินคดี เพราะการชุมนุมเป็นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ต้องการต่อต้านรัฐบาลที่บริหารประเทศไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ในกรณีอนุญาตให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโดยไม่ผ่านรัฐสภา รวมทั้งยังมีการเข่นฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายอาญาอย่างชัดเจน

"การตั้งข้อกล่าวหาว่าการชุมนุมเป็นการก่อการร้ายสากลนั้น ถือข้อเป็นกล่าวหาที่ไม่มีมูล และเป็นข้อกล่าวหาที่แรงเกินไป โดยเราทุกคนเชื่อว่าจะสามารถชี้แจงได้ เพราะการกระทำของกลุ่มพันธมิตรไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหา และเราได้เตรียมทนายไว้ต่อสู้คดีแล้ว ทั้งน ี้เราเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่าจะให้ความเป็นธรรม การถูกออกหมายเรียกก็เพียงขั้นตอนแรกของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการกระทำความผิด ไม่เหมือนกับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกพิพากษาว่าทำผิดแล้ว" นายสมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน สภ.ราชาเทวะ ออกหมายเรียกวันที่ 1 กรกฎาคม ลงนามโดย พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ในคดีระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับพวก ผู้กล่าวหา และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวก ผู้ต้องหา โดยให้ผู้ต้องหาทั้งหมดเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ในข้อหา "ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ , เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ฯลฯ" ทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง

ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2551 เหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ

ผู้ที่ถูกออกหมายเรียกในข้อหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิรวมทั้งสิ้น 25 คน ประกอบไปด้วย

1. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
2. นายสนธิ ลิ้มทองกุล
3. นายสุริยะใส กตะศิลา
4. นายสำราญ รอดเพชร
5. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
6. นายอมร อมรรัตนานนท์
7. นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
8. นายศิริชัย ไม้งาม
9. นางมาลีรัตน์ แก้วก่า
10.นายเทิดภูมิ ใจดี
11.นายพิภพ ธงไชย
12.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์
13.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก
14.นายพิชิต ไชยมงคล
15.นายประพันธ์ คูณมี
16.นายบรรจง นะแส
17.นายกษิต ภิรมย์
18.นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง
19.นายวีระ สมความคิด
20.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
21.น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์
22.ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์
23.นายชนะ ผาสุกสกุล
24.พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์
25.นายสุรวิชช์ วีรวรรณ


นอกจากนั้น พนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ออกหมายเรียกวันที่ 1 กรกฎาคม ลงนามโดยพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ในคดีระหว่างสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงษ์ ผู้รับมอบอำนาจกับพวก ผู้กล่าวหา และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข กับพวก ผู้ต้องหา โดยให้ผู้ต้องหาทั้งหมดเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ในข้อหา "กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการ กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง ประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้า หรือผู้สั่งการ และเป็นผู้ใช้ ยุยงส่งเสริม โฆษณา หรือประกาศ, ร่วมกันบุกรุกสำนักงาน หรืออสังหาริมทรัพย์ ในความครอบครองของผู้อื่น, ร่วมกันบุกรุกสำนักงาน หรืออสังหาริมทรัพย์ ในความครอบครองของผู้อื่น โดยเป็นผู้ใช้ ยุยงส่งเสริม โฆษณา หรือประกาศ" เหตุเกิด ท่าอากาศยานดอนเมือง ระหว่าง วันที่ 25 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2551

ผู้ที่ถูกออกหมายเรียกในข้อหาบุกรุกสนามบินดอนเมือง รวมทั้งสิ้น 27 คน ประกอบไปด้วย

1. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 2. นายสนธิ ลิ้มทองกุล 3. นายพิภพ ธงไชย 4. นายสุริยะใส กตะศิลา 5. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 6. นางมาลีรัตน์ แก้วก่า 7. นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ 8. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 9. นายอมร อมรรัตนานนท์ 10.นายสำราญ รอดเพชร 11.นายศิริชัย ไม้งาม 12.นายเทิดภูมิ ใจดี 13.นายปาเทพ พัวพงษ์พันธ์ 14.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 15.นายพิชิต ไชยมงคล 16.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 17.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 18.นายประพันธ์ คูณมี 19.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ 20.นางแจ่มศรี สุขโชติรัตน์ 21.นายสมบูรณ์ สุวรรณฝ่าย 22.น.ส.จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ 23.นายเติมศักดิ์ จารุปราณ 24.นายบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล 25.น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา 26.นายยุทธิยงค์ ลิ้มเลิศวาที 27.นายสุมิตร นวลมณี

ทั้งนี้ให้ผู้ต้องหาเข้าพบพนักงานสอบสวน ที่สโมสรตำรวจ วันที่ 16 กรกฎาคมนี้ โดยให้ผู้ต้องหาคดีบุกรุกสนามบินดอนเมืองเข้ารายงานตัวในเวลา 9.30 น. ส่วนคดีบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 13.00 น.


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กระปุกดอทคอม
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1246782919&grpid=00&catid=01
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1246704231&grpid=03&catid=01

ด่วน ! คลิป หลุด Wonder Girls ขณะเต้น Nobody โอ้ว ! ขาวมาก




น่ารัก

พื้นบ้านสวยด้วยมือเรา



พื้นบ้านสวยด้วยมือเรา (เดลินิวส์)

วิถีประจำวันภายในบ้านของเรานั้นต้องผูกพันกับ "พื้น" อยู่ตลอดเวลา เพราะพื้นไม่เพียงครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในบ้าน แต่ยังทำหน้าที่รองรับน้ำหนักกดทับต่างๆ ด้วย จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

วัสดุปูพื้นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่ ไม้ หิน และกระเบื้องเคลือบ สำหรับวัสดุประเภทไม้นั้น แบ่งย่อยออกเป็น ไม้โซลิด (Solid Wood) หรือไม้จริงทั้งแผ่น โดยชนิดที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปได้แก่ ไม้แดง ไม้มะค่า และไม้สัก มีคุณสมบัติเด่น คือมีความแข็งแรงทนทาน มีสีสันสวยงามเป็นธรรมชาติ และยังสามารถขัดหรือทำสีใหม่ได้อยู่ตลอดแม้ใช้ไปนานวัน ทำให้ราคาค่อนข้างสูง


ส่วนพื้นไม้อีกประเภทคือ ไม้เอ็นจิเนีย (Engineered Wood) เป็นการผสมผสานระหว่างผิวหน้าซึ่งเป็นไม้จริง นำมาประกบลงบนแผ่นไม้สนหรือไม้ยาง ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน ช่วยลดปริมาณการใช้ทรัพยากรไม้ จึงมีราคาย่อมเยากว่า และมีขั้นตอนการติดตั้งง่าย แต่หากจะใช้ไม้ก็ควรคำนึงถึงรูปแบบการใช้งานในแต่ละส่วนประกอบด้วย

แต่วัสดุสังเคราะห์ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับไม้จริง และกำลังได้รับความนิยม ได้แก่ พื้นลามิเนต ซึ่งเป็นการนำเยื่อไม้มาบดละเอียดและอัดขึ้นมาเป็นแผ่น จากนั้นปิดผิวหน้าด้วยแผ่นพีวีซี จึงทำให้มีหลากหลายลวดลาย และสีสัน ราคาย่อมเยา รวมทั้งประหยัดเวลาในการติดตั้ง แต่ก็มีความแข็งแรงทนทานต่ำกว่าไม้จริงมาก


หิน ถือเป็นวัสดุปูพื้นอีกประเภทที่ได้รับความนิยมมาก เพราะช่วยเพิ่มความสวยงามภูมิฐานให้กับบ้าน ทว่าหินแต่ละประเภทก็มีข้อเด่นข้อด้อยที่แตกต่างกัน เช่น "หินอ่อน" แม้มีสีสันให้เลือกมากมาย ไม่ผุกร่อนได้ง่าย แต่ก็มีพื้นผิวอ่อน จึงเหมาะจะนำไปใช้งานเฉพาะภายในบ้านหรือบริเวณที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดรอยขีดข่วน ส่วน "หินแกรนิต" นั้น เป็นวัสดุที่สามารถทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี สามารถใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก แต่ก็มีสีสันให้เลือกน้อยกว่า

สำหรับพื้นกระเบื้องเคลือบ มีข้อดีคือ มีความแข็งแรง มีหลายแบบหลายลวดลายให้เลือก ดูแลรักษาง่าย และมีสนนราคาไม่สูงนัก อีกทั้งในปัจจุบันก็มีการผลิตกระเบื้องเคลือบเลียนแบบลายไม้ และลายหินขึ้นมาทดแทนการใช้วัสดุธรรมชาติ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้วย ส่วนในด้านการใช้งานนั้น ควรคำนึงถึงอนาคตเมื่อกระเบื้องปูพื้นเกิดการแตกหักเสียหาย ซึ่งอาจป้องกันโดยซื้อกระเบื้องลายนั้นๆ เก็บไว้ เผื่อในกรณีที่มีการเลิกผลิตกระเบื้องลายนั้นไปแล้ว


ในการเลือกสรรวัสดุปูพื้น อีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงควบคู่ไปด้วยก็คือ สไตล์ของบ้าน และโทนสีของเครื่องเรือน เพราะถ้าท่านติดตั้งไปแล้ว แต่เกิดไม่ถูกใจ หรือแลดูไม่เข้าบรรยากาศโดยรวมของบ้าน การมาเปลี่ยนแปลงใหม่ภายหลังจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งไม่ว่าท่านจะเลือกหรือชื่นชอบวัสดุปูพื้นแบบใด ในขั้นตอนสุดท้ายก็อย่าลืมเพิ่มความสวยงามยิ่งขึ้น โดยเลือกหาพรมชิ้น หรือเสื่อทอลายสวยมาวางประดับเพิ่มความโดดเด่นน่าสนใจให้กับแต่ละมุม เพื่อให้บ้านของท่านแลดูมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=510&contentId=6359
โดย บ้านในฝัน

อย่ามัวท้อ เพราะมีหนี้สิน



อย่ามัวท้อ เพราะมีหนี้สิน (ไทยรัฐ)

ภาวะเศรษฐกิจซบเซาดูเหมือนไม่มีอะไรดีสักอย่าง ค้าขายก็ไม่คล่องไม้คล่องมือเหมือนก่อน ส่วนคนทำงานก็มีเงินเดือนแค่พอใช้ก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ถ้าสามารถบริหารเงินเดือนให้มีกินมีใช้ไปได้ตลอดทั้งเดือนก็เก่งแล้ว ดังนั้น การมีหนี้สินตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะแย่มากหากมีหนี้สินล้นพ้นตัวนะจ๊ะ ฉะนั้น การไม่มีหนี้จึงถือเป็นลาภอันประเสริฐ แต่หากหนีการเป็นหนี้ไม่พ้น ก็ขอให้มีหนี้ที่สามารถชำระให้หมดได้ก็ละกัน ชีวิตจะได้ไม่ "เครียดจัด" ยังไงล่ะ

แล้วถ้าหากเศรษฐกิจฟุบแฟบแบบนี้ทำให้ใครต่อใครรู้สึกเสียเซลฟ์ หรือขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะนึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่ากว่าคนอื่น จนพานทำให้เกิดความผิดหวัง และท้อแท้ขึ้นมาละก็ โอ๋ๆ อย่าคิดในแง่ลบกับตัวเองอย่างนั้นสิ สู้หันมาคิดดีและทำดีกับตัวเอง เพื่อลบล้างความผิดหวังและเสริมสร้างความมั่นใจด้วยการ...

1. อย่ามัวเอาตัวเองไปเปรียบ-เทียบกับคนอื่น

โดยเฉพาะอย่าไปเปรียบเทียบกับคนที่มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าเรา เพราะอย่าลืมสิว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ถ้าอยากจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกะคนอื่นจริงล่ะก็ ให้เอาตัวคุณไปเปรียบเทียบกับคนที่ด้อยกว่าละกัน แล้วคุณจะภูมิใจในตัวเองขึ้นมาอย่างมากทีเดียว เช่น ถ้าตอนนี้คุณยังมีงานทำอยู่ แต่แย่หน่อยตรงที่มีรายได้จำกัดจำเขี่ย ทำให้ ไม่สามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ เหตุนี้แทนที่จะโทษตัวเองว่าทำไมถึงจนอย่างนี้วะ ในทางกลับกัน อยากให้คุณหันมารักตัวเองมากๆ แล้วเอาตัวเองไปเปรียบกับคนที่ถูกปลดออกจากงานดีกว่า คิดดูนะว่าแรงงานที่ถูกปลดจากงานจะทุกข์ระทมกว่าคุณแค่ไหน เอ้า...ก็ขณะที่คุณยังมีงานทำ แต่พวกเขาต้องดิ้นรนหางานใหม่ แล้วหยั่งงี้ยังจะมัวท้อใจอีกรึ

2. ถ้าคุณมีหนี้สิน จนท้อใจละก็เอางี้มั้ย...

2.1 เอ่ยปากขอให้ทางบ้านช่วยไปก่อน เช่น ขอให้พ่อแม่พี่น้องช่วยเจียดเงินคนละนิดคนละหน่อย มาช่วยให้คุณพ้นจากหนี้สินที่มีอยู่บางส่วน คือไม่จำเป็นต้องขอให้พวกเค้าช่วยทั้งหมดก็ได้ เชื่อว่าถ้าไม่ขอเงินจำนวนมากเกินไป สมาชิกทางบ้านพอจะช่วยกันได้หรอกน่า อีกอย่างถ้าคุณตั้งใจแค่ขอยืม แล้วจะใช้คืนทีหลังก็ยิ่งดี อย่างงี้ปัญหาน่าจะลดน้อยถอยลงนะ เพียงคุณกล้าเอ่ยปาก ขอร้องให้พวกเค้าช่วยเท่านั้นแหละ เพราะบางทีที่ผ่านมาคุณอาจยังไม่เคยขอให้เค้าช่วยก็ได้ ลองดูก่อนละกัน

2.2 อย่าอายที่จะมีอาชีพเพิ่ม เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าหลายๆ ทาง เพราะถ้าแค่ทำงานกินเงินเดือนอย่างเดียวทำให้มีรายได้ไม่พอใช้ละก็ คุณต้องใจกล้ามากขึ้นที่จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าซะแล้วล่ะ ลองนำสินค้าไปวางขายตามตลาดนัดซึ่งอยู่ใกล้บ้าน หรือเป็นสถานที่ที่มีทำเลดีและมีผู้คนเดินพลุกพล่านดูดิ ถ้าคุณขยันใช้เวลาว่างในวันหยุดให้เป็นประโยชน์ได้ หยั่งงี้ละก็โอกาสที่จะพ้นทุกข์จากการเป็นหนี้ ก็อยู่แค่เอื้อม...

ขอให้ทุกท่านโชคดี...ไชโย!
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/17388
เรื่องโดย : คนสมถะ

9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก



9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก (ไทยรัฐ)

ผู้ชายของคุณบางครั้งก็ไม่รู้ตัวว่า ท่าทางหรือกิริยาบางอย่างของเขากำลังเผยพิรุธให้สาวๆ จับโกหกได้มากเพียงใด เพราะบางครั้งสาวๆ เองก็ไม่ทันได้สังเกต ดังนั้นวันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มี 9 เทคนิคง่ายๆ มาฝากคุณผู้อ่าน สำหรับจับสังเกตอาการโกหกของผู้ชายของคุณมาฝาก

ข้อที่ 1 สังเกตที่ขาของเขาดีๆ บางทีอาจมีความลับอะไรซ่อนอยู่

ดูให้ดีว่า ระหว่างที่คุยกัน หากหนุ่มๆ ของคุณนำขาไปไขว้ไว้ด้านหลังหรือรอบๆ เก้าอี้ที่นั่งอยู่ นั่นแสดงว่าหนุ่มๆ ของคุณกำลังตั้งใจหรือมีวัตถุประสงค์จะเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้ โดยเฉพาะความจริง

ข้อที่ 2 การนิ่งเงียบ

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถามคำถามที่แสนจะธรรมดา หรือถามอะไรตรงๆ บางอย่างกับเขา เช่น "เมื่อคืนคุณไปไหนมา" หรือ "คุณกำลังโกหกอะไรฉันอยู่" ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบหรือเลือกที่จะทวนคำถามอีกครั้งหนึ่งก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

ข้อที่ 3 นิ้วหันแม่มือ หรือนิ้วโป้งจอมทรยศ

ถ้าเขายืนอยู่ในท่าที่เอาฝ่ามือซุกกระเป๋าแล้วล่ะก็ ให้คุณสังเกตก่อนเลยว่า นิ้วหัวแม่มือของเขาอยู่ด้านในหรือด้านนอกกระเป๋า ถ้าอยู่ด้านใน นั่นแสดงว่าเขากำลังรู้สึกตระหนกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะว่า จะตีความว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

ข้อ 4 เขาไม่สามารถโกหกได้หากต้องลำดับเหตุการณ์แบบย้อนหลัง

ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับคนที่เล่าเรื่องให้คุณฟังแบบมีท่าทีน่าสงสัย ให้คุณพยายามถามคำถามกดดันเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นแบบไม่เรียงลำดับเหตุการณ์ หรือสับไปสับมาจากหน้าไปหลัง เพราะสำหรับคนที่พูดโกหกนั้นจะสามารถเล่าเรื่องตามลำดับ a b c d ได้เป็นอย่างดีไม่ติดขัด แต่ถ้าใหโกหกแบบ d c b a คงเป็นไปไม่ได้เลย

ข้้อ 5 อาการยักไหล่

ถ้าหนุ่มๆ กำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูหนักแน่น จริงจัง เช่น "ผมอยู่กับเพื่อนของผมเมื่อคืนนี้" พร้อมกับยักไหล่ไม่ว่าจะข้างหนึ่งหรือสองข้าง แล้วมองไปทางอื่น กิริยาท่าทางแบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่รับรู้หรือให้คำมั่นกับสิ่งที่พูดไป

ข้อ 6 คำว่า "แต่" เกิดขึ้นมากมายระหว่างการสนทนาของเรา

ลองดูประโยคเหล่านี้ "ผมรู้ว่าคุณคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่..." หรือ "คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าจะเกิดสิ่งนี้ แต่..." ขอให้รู้ว่าคำพูดใดๆที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป็นการโกหกคำโต

ข้อ 7 ลิ้นไม่สามารถอำพรางคำโกหก

ถ้าคุณถามคำถามบางข้อกับใครบางคน แล้วทันใดนั้นเขาก็ตวัดลิ้น หรือเลียริมฝีปากก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น

ข้อ 8 เขาพยายามจ้องตาคุณมากจนผิดสังเกต

บางครั้งคนโกหกก็มักจงใจที่จะจ้องตาคุณในระหว่างตอบคำถามเพื่อแสดงถึงความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถาม ดังนั้น คุณต้องพยายามพิสูจน์และหาให้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

ข้อ 9 การใช้มืออำพราง

ส่วนใหญ่คนที่โกหกมักไม่ต้องการให้คุณตรวจพบความผิดปกติในตัวเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเขาจะใช้วิธีเอามือมาปกปิดใบหน้า เช่น จับจมูก ขยี้ตา หรือจับคาง ทั้งนี้เพื่อต้องการบิดเบือนคำพูดที่ออกมาปากของเขา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/16003

น้ำตาลทรายสารพัดประโยชน์



Extraordinary Uses for Sugar (นิตยสารลิซ่า)

น้ำตาลทรายหวานอร่อยและยังมีประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ ที่ช่วยให้ชีวิตในบ้านของคุณง่ายขึ้นอีกด้วย

ทำความสะอาดมือ : น้ำตาลเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการขัดลอก เพราะฉะนั้นถ้ามือคุณเปื้อนคราบสกปรกโดยเฉพาะคราบมันที่ล้างออกได้ยากทั้งหลาย ลองใช้น้ำตาลทรายถูมือ มันจะช่วยทำความสะอาดได้อย่างหมดจด

ดักมด : ต้มน้ำตาลกับน้ำเล็กน้อยจนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวๆ แล้วเทน้ำเชื่อมใส่ลงในขวดปากกว้างหรือชาม จากนั้นวางทิ้งไว้ในที่เปิดโล่ง มันจะดึงดูดมดเข้ามาลิ้มรสความหวาน แล้วก็จะตกลงไป

บรรเทาอาการลิ้นพอง : ถ้าคุณบังเอิญกินอาหารร้อนๆ หรือเครื่องดื่มร้อนจัดเข้าไปจนรู้สึกเหมือนลิ้นแทบพอง ลองโรยน้ำตาลทรายลงบนลิ้นแล้วอมเอาไว้ชั่วคราว อาการปวดแสบปวดร้อนจะดีขึ้น

กำจัดแมลงสาบ : ผสมน้ำตาลทรายกับผงฟูในปริมาณเท่าๆ กัน น้ำตาลทรายจะเรียกให้แมลงสาบเข้ามากิน แล้วผงฟูก็จะทำให้แมลงสาบต-า-ย

จับแมลงวัน : ต้มน้ำครึ่งลิตรกับน้ำตาลทรายและพริกไทย (ราวหนึ่งช้อนชา) แล้วเทใส่ไว้ในชาม มันจะดึงดูดแมลงวันให้เข้ามา แล้วก็จะตกลงไปต-า-ยในน้ำ

จุดไฟ : ถ้าคุณมีปัญหาในการติดเตาถ่าน ลองโรยน้ำตาลทรายลงไปสักหยิบมือหนึ่งก่อนจุดไฟ น้ำตาลทรายจะช่วยทำให้ไฟติดได้ง่ายขึ้น

รักษาความสดของบิสกิต : ใส่น้ำตาลทรายเล็กน้อยลงในโหลใส่บิสกิตของคุณ มันจะช่วยดูดซับความชื้นและทำให้บิสกิตคงความกรอบได้ยาวนานกว่า

เค้กสดใหม่ : โรยน้ำตาลทรายเล็กน้อยลงบนเค้กที่ทำเองที่บ้านในขณะที่มันยังร้อนอยู่ เค้กของคุณจะคงความสดใหม่ได้นานขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.lisaguru.com/home/domestic_goddess/extraordinary-uses-sugar

เปิดชีวิต...หมอหมีแพนด้า



เปิดชีวิต หมอหมี(แพนด้า) (เดลินิวส์)


"กับชีวิตสัตว์เราไม่เคยเลือกที่จะรัก รักเหมือนกันหมด แต่กับช้างพิเศษมากกว่า เพราะเขาปัญหาเยอะ แต่คนช่วยมีน้อย ทุกวันนี้ยังยืนยันความฝันเดิมว่าที่สุดของชีวิตเราแล้วคือการได้เป็นหมอช้าง รักษาช้าง" เป็นความรู้สึกของสัตวแพทย์หญิง (ส.พญ.) กรรณิการ์ นิ่มตระกูล หรือ หมอก้อย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่คงไม่รู้มาก่อน เพราะวันนี้เริ่มจะคุ้นชื่อเธอโดยมิใช่เพราะ "ช้าง" แต่เพราะ "หมีแพนด้า"

"หมอก้อย-กรรณิการ์ นิ่มตระกูล" วันนี้คือหนึ่งในสัตวแพทย์ประจำทีมดูแลแพนด้า สวนสัตว์เชียงใหม่ เธอเล่าเรื่องชีวิตให้ฟังว่า เป็นคนเชียงใหม่เต็มร้อย เกิดที่นี่ โตที่นี่ เรียนที่นี่ และคาดว่าจะตายที่นี่เช่นกัน เธอเพิ่งผ่านวันครบรอบวันเกิดไปไม่นาน เพราะเกิดเมื่อ 18 มิถุนายน 2520 ตอนนี้ก็อายุ 32 ปี เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ จบ ป.6 ก็เรียนต่อที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากนั้นสอบเข้าเรียนที่คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เธอเป็นนักศึกษารุ่นแรกและเป็นคนแรกของคณะ มีรหัส 01 เหตุเพราะชื่อนำหน้าคือ ก.ไก่ กับเป็นนักศึกษารุ่นแรกของคณะ เพราะเป็นปีแรกที่เพิ่งเปิดตอนที่เธอสอบเข้า

เธอเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็รักสัตว์แล้ว คุณพ่อ-คุณแม่ เกรียงศักดิ์-สุนันท์ นิ่มตระกูล เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าตอนเด็กจะวิ่งเข้าหาหมา-แมวตลอด จนต้องคอยกระชากไว้ ซึ่งที่บ้านไม่มีใครเป็นหมอเลยสักคน คุณพ่อเป็นช่างซ่อมตู้เย็น คุณแม่เป็นแม่ค้าขายของ พี่สาว-พี่ชายทั้ง 2 คนก็ทำงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการดูแลสัตว์

"พ่อชอบบอกว่าเป็นบ้าแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว (หัวเราะ) และทำไมถึงเลือกเป็นหมอสัตว์ ตรงนี้เกิดจากความรู้สึกตอนที่เห็นหมาเราถูกรถชนตาย ตอนนั้นคิดว่าคงดีกว่านี้ถ้าสามารถช่วยเขาได้ จึงคิดว่าจะดีกว่าถ้าเราจะเป็นสัตวแพทย์ พอได้มาเรียนก็รู้สึกชอบงานด้านสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างจะชอบเป็นพิเศษ"

ตอนเรียนเธอจะให้ความสนใจเรื่องช้างมาก เพราะมีปัญหาเยอะ แต่คนทำงานมีไม่พอเพียงกับปัญหา เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ใหญ่การดูแลรักษาต้องใช้คนมากกว่าสัตว์อื่นๆ ยิ่งได้ฝึกงานก็ยิ่งรู้สึกรักช้างมากขึ้น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ แต่ชีวิตคนเรามีถมไปที่ความฝันกับความจริงเป็นคนละเรื่อง กับหมอก้อยนั้นหลังเรียนจบเธอก็ไม่ได้ทำงานที่อยากทำ สมัครที่ไหนก็ไม่มีการตอบรับ สาเหตุหนึ่งคือยุคก่อนนั้นการยอมรับผู้หญิงเข้าทำงานด้านช้างยังไม่เปิดมาก เท่าเดี๋ยวนี้ เพราะเป็นงานหนัก ต้องใช้แรงเยอะ เธอจึงต้องเบนเข็มเป็นสัตวแพทย์ในโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่ง ก่อนที่ต่อมาจะกลายมาเป็น "หมอหมีแพนด้า" และเป็นที่รู้จักของคนไทยในตอนนี้

"ทำอยู่โรงพยาบาลสัตว์ได้ปีครึ่ง ก็ตัดสินใจออกมาตามฝัน ไปสมัครเป็นอาจารย์บ้างก็ไม่ได้ พอดีมีพี่คนหนึ่งที่เขาอยู่ในทีมดูแลแพนด้า เขาบอกว่าที่สวนสัตว์เชียงใหม่มีนโยบาย รับหมอผู้หญิงนะ ก็เลยไปลองสมัครดู ทางเขาก็ไม่แน่ใจว่าเราจะทำไหวไหม เพราะกลัวเราจะหักกลาง (หัวเราะ) ตอนนั้นเราหนักแค่ 45 กิโลกรัมเอง เราก็เลยวัดใจไปเลยว่าขอทำเป็นอาสาสมัครก็แล้วกัน ถ้าเราทำไหวก็สุดแท้แต่เขาว่าจะรับหรือไม่รับ เขาก็บอกลองดู กลางวันเราก็ทำงานที่สวนสัตว์ กลางคืนเราก็ไปหารายได้เสริมที่ผับ เป็นพนักงานเสิร์ฟ"



หมอก้อยเล่าอีกว่า ทำงานเป็นอาสาสมัครแบบไม่รับเงินเดือนอยู่ 2 เดือน ก็ได้บรรจุเป็นลูกจ้าง จากนั้นก็ทำมาเรื่อยๆ จังหวะพอดีพี่คนเดิมที่ดูแลอยู่ลาออกไปสอนหนังสือ เธอจึงถูกดึงมาทำตรงนี้ปัจจุบันก็ 4 ปีแล้ว

ชีวิตในฐานะหมอแพนด้าของเธอไม่ง่าย ทุกเรื่องของแพนด้ามีคนสนใจเป็นพิเศษ ทำให้ชีวิตส่วนตัวหายไปบ้าง อย่างไรก็ดี เธอบอกว่าปัจจุบันมีคนรู้ใจแล้ว เขาทำงานด้านธุรกิจอาหาร ชื่อ บอย-สรศักดิ์ จันทรังษี

กับการเป็นที่รู้จักมากขึ้นชั่วข้ามคืน หลัง "แพนด้าน้อย" ลูกสาวของ หลินฮุ่ย-ช่วงช่วง เป็นจุดสนใจ เธอยอมรับว่า ยังไม่ชิน เพราะเป็นแค่หมอตัวเล็กๆ เมื่อต้องมาอยู่ในจุดนี้ก็ทำให้ชีวิตไม่เป็นปกติ ยิ่งแพนด้าเป็นเรื่องที่คนสนใจ สื่อก็ต้องพยายามหาข่าวเพื่อให้คนรับรู้ ช่วงแรกเธอยอมรับว่าไม่เข้าใจและมีปัญหามาก แต่ก็พยายามปรับตัวและทำความเข้าใจ คิดว่าต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ และพยายามมองด้านที่เป็นประโยชน์ พอความสนใจเยอะ ความช่วยเหลือก็มากขึ้น สัตว์อื่นๆ ก็ได้ประโยชน์ จึงคิดตลอดว่าต้องอดทนๆ เพื่อช่วยสัตว์อื่นด้วย

"ตอนนี้อยู่ตัวแล้ว ช่วงแรกๆ สื่อจะบอกว่ายัยคนนี้เป็นบ้าอะไรนะ ฟาดฟันกับสื่อเหลือเกิน ตอนนั้นไม่เข้าใจ เรามักจะเทความเป็นห่วงไปหาสัตว์ที่เราดูแลมากกว่า เป็นห่วงลูกหมีตัวเล็ก ๆ ว่าเขาจะอดทนพอไหม ยิ่งตอนเขาเกิดมาเขาน่ารัก ทุกคนก็จะเข้าหา จนตอนหลังพี่ที่เขาหวังดีมาสอนเราว่าต้องเข้าใจภาวะของสังคม เขาสนใจก็ต้องเอื้อให้เขารู้ และไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ทุกวันนี้ก่อนเริ่มทำงานเราก็จะต้องนำตารางการตรวจเช็กมาดู เพื่อที่จะพิมพ์เป็นข้อมูลให้ ตรงนี้จริง ๆ ไม่ใช่หน้าที่ แต่เราถือโอกาสให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่าไปในตัว"

ในส่วนของพ่อแม่ เธอบอกว่าไม่ค่อยถามอะไร และปกติก็แทบจะไม่ได้เจอกัน ยุ่งขนาดที่เธอบอกว่าตอนไปดูงานที่จีนซื้อของฝากก็ยังไม่มีเวลาเอาไปให้ จนต้องโทรศัพท์ให้มาเอาถึงสวนสัตว์

"ส่วนใหญ่คุณพ่อคุณแม่จะดูจากข่าว โทรคุยบ้างสั้นๆ คุณแม่เดินไม่ได้มา 20 ปีแล้ว กลับไปทีเขาจะจับแข้งจับขาบอกว่าเห็นในทีวีนะ ตอนนี้ (ช่วงที่สัมภาษณ์) คุณพ่อเพิ่งเข้าโรงพยาบาล เวลาไปเยี่ยมก็จะโม้ว่านี่ลูกสาวทำงานแพนด้านะ"

ถามถึงภารกิจประจำวัน เธอเล่าว่า 08.30 น. เข้าทำงาน จากนั้นกิจวัตรก็คือการเข้าไปซักถามพี่เลี้ยงถึงสภาวะสุขภาพต่างๆ โดยแพนด้าจะมีคนเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อบันทึกพฤติกรรม ถ้าถามแล้วไม่มีอะไรน่าห่วง ตอน 09.00 น.ก็นั่งทำงานวิจัย งานเอกสารที่เกี่ยวข้อง และตั้งแต่ 13.00 น. จนถึงเย็น ก็จะเข้าไปดูพี่เลี้ยงที่ทำการฝึก 2 แพนด้า แต่ช่วงยุ่งๆ จะเริ่มเมื่อใกล้เข้าฤดูผสมพันธุ์ของแพนด้า คือช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ที่ต้องกินนอนในกรงแพนด้าเพื่อเฝ้ารอจังหวะไข่ตก เมื่อไข่ตกเมื่อไหร่ทางทีมงานก็ต้องพร้อมที่จะผสมเทียมได้ทันที ช่วงนี้จะหนักสุด

สำหรับกระแสที่คนไทยตอนนี้เห่อแพนด้า เธอยอมรับว่าเธอเองก็โหนกระแสนี้ เพราะเป็นโครงการสำคัญ การที่แพนด้าเป็นดาราประจำก็ทำให้คนสนใจมาก รายได้จากตรงนี้ก็เลี้ยงดูหล่อเลี้ยงสัตว์อื่นด้วย ซึ่งที่สวนสัตว์นี้สมัยก่อนคนเข้าไม่มาก ถึงจะมีสัตว์ของไทยดี ๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าดู แต่พอแพนด้ามาสัตว์อื่นๆ ก็เลยได้อานิสงส์ด้วย อย่างห้องแล็บราคา 2-3 ล้าน ที่เพิ่งสร้างก็ได้มาเพราะแพนด้า ซึ่งก็ได้ใช้ประโยชน์จากแล็บในการเป็นศูนย์ตรวจเชื้อ ตรวจฮอร์โมนให้สัตว์อื่น กับช้างก็ใช้ที่นี่ ตรงนี้ก็ถือว่าแพนด้าให้คุณมาก

"แต่วันหนึ่งเขาก็คงต้องกลับบ้านเขา ถามว่าผูกพันไหม แน่นอนเพราะเราเลี้ยงเขามาเหมือนลูก มีหมวยน้อยเป็นหลาน ถามว่าร้องไห้ไหม มันข้ามช็อตไปแล้ว ส่วนวันที่เขาจะต้องกลับจริงๆ เราจะร้องไห้หรือไม่ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ" หมอก้อย-กรรณิการ์ นิ่มตระกูล กล่าว

ทิ้งท้าย หมอหมีแพนด้าคนนี้กล่าวประโยคที่น่าดีใจแทนช้างไทยว่า ถามว่ายังคิดจะกลับไปตามฝันหรือไม่ วันนี้ก็ยังไม่ได้ขาดจากความเป็นหมอช้างนะ ทุกวันนี้ก็จะคุยกับพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ลำปาง ที่ดูช้างกันอยู่ ทุกวันนี้หากมีช่วงว่างก็จะแอบหนีไปลำปางเพื่อไปช่วยงานช้างอยู่เสมอ เพราะเรายังรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ดูแลช้าง แม้จะรักแพนด้ามากแค่ไหนก็ตาม แต่ถึงยังไงช้างก็ยังเป็นที่สุดของเรา

หมอก้อยบอกว่า มีหลายเรื่องที่คนไทยไม่ค่อยทราบ อาทิ ทำไมถึงสนใจการคลอดและเลี้ยงลูกของหลินฮุ่ยมาก คำตอบคือ พฤติกรรมหลินฮุ่ยค่อนข้างเป็นที่แปลกใจของผู้ศึกษาแพนด้า เพราะไม่ทิ้งลูก ทั้งที่วัยเด็กของหลินฮุ่ยถูกแม่ทิ้ง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจีนยังทำนายว่าจะต้องทิ้งลูกจนสั่งให้เตรียมตู้อบและนมไว้ แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้, ความอดทนในฐานะแม่ของหลินฮุ่ยมีสูง ปกติแม่แพนด้าจะทนหิวไม่ไหว ต้องวางลูกเพื่อกินอาหาร แต่หลินฮุ่ยไม่ยอมวางลูก ไม่กิน ไม่ถ่าย ไม่นอน ตลอด 5 วัน จนทีมงานอดทึ่งไม่ได้กับความเป็นยอดคุณแม่ กับภาพที่นั่งสัปหงกอุ้มลูก, ทำไมแพนด้าผสมพันธุ์ยาก เพราะตัวผู้อวัยวะเพศสั้น ตัวเมียมีวงรอบปีละครั้ง เป็นสัตว์รักสันโดษชอบอยู่เดี่ยว สนใจการกินมากกว่าการผสมพันธุ์ จึงใช้เวลามาก 5-6 ป ีกว่าจะผสมพันธุ์ติด

และขณะที่คนไทยกำลังลุ้นโหวตชื่อแพนด้าน้อย หมอก้อยเผยว่า มีชื่อจีนที่ทางทีมงานตั้งกันและแอบส่งด้วย แต่ตกรอบ คือ "ไท้ซิง" แปลว่า "หัวใจของคนไทย" อีกความหมายคือดวงดาวที่สวยงามของคนไทย เหมือน "สตาร์ ออฟ ไทยแลนด์" ส่วนชื่อที่ทีมเรียกกันมาแต่แรกและเรียกกันอยู่ก็มีชื่อ "อ้อแอ้" เพราะเขาชอบขี้บ่น คือจะชอบทำปากงุบงิบเหมือนบ่นตลอดเวลา เราก็หมั่นไส้เลยพูดว่าอ้อแอ้เหลือเกิน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=524&contentId=6469
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/อนุศร ศรีวิชัย : รายงาน

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP