เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

ชาคริต จ๊าก เป้าตุง คลั่ง กิ๊บซี่



''ชาคริต'' ขำ...เคลียร์ข่าวจับนม ''โบวี่'' และเป้าตุงเมื่อเห็น ''กิ๊บซี่'' สวมบิกินี ระหว่างถ่ายหนังเรื่อง ''แฟนเก่า'' ด้าน 2 ดาราสาวช่วยกันยืนยันพระเอกรุ่นพี่เป็นมืออาชีพพอ คงไม่มีทางคิดอย่างนั้นแน่นอน



ยังคงเป็นหนุ่มฮอตที่มีคนพูดถึงอยู่มาก สำหรับพระเอกหนุ่ม ''ชาคริต แย้มนาม'' ที่ล่าสุดกำลังมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง ''แฟนเก่า'' ที่เตรียมจะลงจอในเร็วๆ นี้ออกมาอีกด้วย แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้มีภาพเบื้องหลังการถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นฉากเลิฟซีนกับดาราสาวรุ่นน้อง ''โบวี่-อัฐมา ชีวนิชพันธ์'' และภาพวิ่งไล่จับนักร้องสาว ''กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์'' ในชุดบิกินีริมหาด จนเป็นกระแสฮือฮาอย่างมกาเลยทีเดียว



ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถามพระเอกหนุ่ม ''ชาคริต แย้มนาม'' ระหว่างรออัดรายการ ''รู้จริงปะ?'' ณ สตูดิโอมูนสตาร์ เมื่อวันก่อน ซึ่งพระเอกหนุ่มก็ได้กล่าวถึงเรื่องภาพที่เป็นที่กล่าวขวัญว่าจับนมดาราสาวรุ่นน้อง ''โบวี่-อัฐมา'' ว่า



''ไม่มีๆ ก็มันเป็นฉากเลิฟซีนก็ต้องมีแตะเนื้อต้องตัวบ้าง ไม่ได้จงใจจับอย่างนั้น น่าจะเป็นที่ภาพ หรือมุมกล้องต่างๆ มากกว่านะ ข่าวที่ออกมาน่าจะเป็นข่าวโปรโมต เห็นข่าวแล้วก็ขำๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรเลย ตัวน้องเค้าเองก็ขำๆ เพราะว่าเป็นการทำงานมากกว่านะ เราทั้งหมดก็ไมได้คิดอะไรกันเลย''



ส่วนประเด็นที่มีภาพฉากที่นางเอกสาว ''กิ๊บซี่-วนิดา'' สวมบิกินีเล่นน้ำ โดยมี ''หนุ่มชาคริต'' วิ่งไล่จับ จนเป็นกระแสคนตาดีมองว่า ''ชาคริต'' เป้าตุงนั้น พระเอกหนุ่มก็ได้กล่าวว่า



''โอ๊ย...เห็นภาพแล้วเพื่อนส่งมาให้ดู ก็ขำๆ คือมันเป็นการทำงานมากกว่า ซึ่งเวลาที่ทำงานไม่ได้มีความรู้สึกอะไรอย่างนั้นหรอก แล้วอีกอย่างก็น่าจะเป็นในส่วนของกางเกงด้วยมากกว่าที่มีส่วนให้เป็นอย่างนั้น'' ชาคริตกล่าว



ทางฝั่งของนางเอกสาว ''กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์'' ก็ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีเดียวกันว่าพระเอกหนุ่ม ''ชาคริต'' ไมได้ติดอะไรอย่างนั้นแน่นอน



''เห็นภาพ...เห็นข่าวแล้วก็ขำๆ กิ๊บว่าพี่เค้าไม่ได้เป็นอะไรอย่างนั้นหรอก วันนั้นหนาวจะตาย ทุกคนก็อยากให้งานเสร็จเร็วที่สุด กิ๊บคิดว่าไม่มีใครเค้าคิดแบบนั้นหรอก แต่ภาพมันออกมาอย่างนั้นก็น่าจะเป็นแค่มุมกล้อง ก็ขำๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรต่างคนต่างทำงาน แล้วอีกอย่างพี่คริตเองก็เป็นมืออาชีพด้วย'' กิ๊บซี่กล่าว



อย่างไรก็ตามดาราสาวเซ็กซี่ ''โบวี่-อัฐมา ชีวนิชพันธ์'' ได้ออกมายืนยันอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับกระแสภาพที่ว่า ''ชาคริต'' จับนมตนเองนั้นว่าไม่เป็นความจริง ''วันที่ถ่ายคือเป็นฉากเลิฟซีน พี่คริตไม่ได้จับ ไมได้โดนอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ โบว่าคนที่เห็นภาพแล้วอาจจะเอาไปเม้าท์กันมากกว่า พี่คริตเป็นนักแสดงมืออาชีพ ไม่ได้ลวนลามอะไรโวอยู่แล้วค่ะ'' โบวี่กล่าวในที่สุด














สนับสนุนเนื้อหาข่าวโดย :
siamdara.com




Tags :
ชาคริต แย้มนาม กิ๊บซี่-วนิดา โบวี่-อัฐมา แฟนเก่า

Thank you - Michael and Me Ceemeagain



Michael and Me


ขอขอบคุณข้อมูลจาก น้องซี >> http://www.ceemeagain.com <<

Imeem - Imeem is closing?

Imeem Imeem is closing? Source says imeem is loosing money and is closing down service!




ขอขอบคุณข้อมูลจาก น้องซี >> http://www.ceemeagain.com <<

กาฬโรคปอด ข้อมูล โรคกาฬโรคปอด กาฬโรค โรคติดต่อ

กาฬโรคปอด ข้อมูล โรคกาฬโรคปอด กาฬโรค โรคติดต่อ





กาฬโรคปอด


หลังจากมีข่าวว่า พบผู้เสียชีวิตด้วย โรคกาฬโรคปอด หรือ กาฬโรคปอด ที่เมืองซิเข่อตัน มณฑลชิงไห่ ประเทศจีน จนทางการท้องถิ่นต้องประกาศปิดเมืองซิเข่อตัน เพื่อฆ่าเชื้อ กาฬโรคปอด และป้องกัน กาฬโรคปอด ระบาด พร้อมกักบริเวณประชาชนไว้กว่า 1 หมื่นคน เพื่อดูอาการเนื่องจาก กาฬโรคปอด เป็นโรคที่อันตรายอย่างมาก เพราะเป็น 1 ใน 5 โรคติดต่อร้ายแรง (อหิวาห์ ไข้ทรพิษ กาฬโรค ไข้เหลือง และซาร์ส)

นอกจากนี้ ทางองค์การอนามัยโลก ยังได้ออกมาเตือนว่า กาฬโรคปอด ที่พบในจีนเป็นเชื้อชนิดเดียวกับ "กาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ" ที่เคยคร่าชีวิตชาวยุโรปมาแล้วกว่า 25 ล้านคน งานนี้จึงทำให้หลายคนอยากรู้จัก กาฬโรคปอด ว่าคือโรคอะไร มีอาการอย่างไร วันนี้กระปุกจึงเรื่องราวของ กาฬโรคปอด มาฝากกันค่ะ

กาฬโรค มีลักษณะอาการแบ่งได้ใหญ่ 3 ลักษณะ คือ กาฬโรคของต่อมน้ำเหลือง (Bubonic Plague), กาฬโรคชนิดโลหิตเป็นพิษ (Septicemic Plague) และ กาฬโรคปอด (Pneumonic Plague) ซึ่ง กาฬโรคปอด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบซิลไล Yersinia pestis อาจเป็นอาการแทรกซ้อนของกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง หรืออาจจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก

อาการของ กาฬโรคปอด

ผู้ป่วย กาฬโรคปอด จะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตัว หอบ เหนื่อยง่าย จากนั้นประมาณ 20-24 ชั่วโมง จะมีอาการทางปอดเริ่มขึ้น คือ ไอถี่ขึ้น เสมหะที่ตอนแรกจะมีลักษณะเหนียวใส จากนั้นจะกลายเป็นสีสนิม หรือแดงสด หากไม่รักษาจะเสียชีวิตภายใน 24-48 ชั่วโมง มักไม่มีปื้นแผลในปอด

การติดต่อของ กาฬโรคปอด

กาฬโรคปอด ถือเป็นกาฬโรคที่อันตรายที่สุด มีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 วัน สามารถติดต่อได้ โดยมีหนูหรือหมัดหนูเป็นพาหะ หรือสัมผัสสิ่งของที่เพิ่งปนเปื้อนเชื้อโรคใหม่ๆ โดยเชื้อ กาฬโรคปอด สามารถแพร่กระจายทางอากาศ และสามารถติดต่อระหว่างคนได้ง่ายผ่านการไอ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็น กาฬโรคปอด มีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 60 หากไม่รีบรักษา สามารถเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังติดเชื้อ แต่หากวินิจฉัยโรคได้เร็ว และได้รับยารักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้เกือบร้อยละ 15 แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน และปริมาณเชื้อที่ได้รับด้วย

การควบคุมการติดต่อของ กาฬโรคปอด

การจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด ได้ ต้องคัดแยกผู้ป่วย กาฬโรคปอด และกักตัวผู้ป่วยอย่างเข้มงวด หรือหากพบผู้สงสัยว่าเป็น กาฬโรคปอด ให้แยกออกมากักตัวไว้ 7 วัน นอกจากนี้ยังต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อจะได้รายงานต่อองค์การอนามัยโลก เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้ กาฬโรคปอด เป็นโรคที่ต้องรายงานตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ

ประวัติการแพร่ระบาดของกาฬโรคในอดีต

ในอดีต โรคกาฬโรค มีการระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้น 3 ครั้ง คือ

การระบาดของ ครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษ ที่ 3 เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า Plague of justinian โดยเริ่มระบาดจากประเทศอียิปต์ไปสู่ทวีปยุโรป โดยเฉพาะที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ทำให้มีคนเสียชีวิต ถึงวันละหมื่นคน และมีการระบาดติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 50 ปี ทำให้มีคนเสียชีวิตหลายล้านคน

การระบาดครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในคริสต์ศวรรษที่ 14 เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า The Black Death (กาฬมรณะ) โดยการระบาดเริ่มต้นจากทางตอนใต้ของประเทศอินเดียและจีน ผ่านประเทศอียิปต์เข้าสู่ประเทศยุโรป จนมีการระบาดในอิตาลี เมื่อปี พ.ศ.1889 เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า "Great Mortality" และมีการระบาดเป็นระยะ ตลอดคริสต์วรรษที่ 15, 16, 17 ก่อนที่ในปี พ.ศ.2208 จะเกิดการระบาดใหญ่ที่กรุงลอนดอน ทำให้มีคนตายเป็นจำนวนกว่า 60,000 คน จากประชากร 450,000 คน เรียกการระบาดครั้งนั้นว่า The Great Plague of London การระบาดในยุโรปครั้งนั้น ส่งผลให้มีประชากรประมาณ 25 ล้านคน ต้องตายด้วยโรคนี้

การระบาดครั้งที่ 3 เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกปี พ.ศ.2439 โดยมีการระบาดเข้าสู่สิงค์โปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ ฮาไวอี อารเบีย เปอร์เชีย เตอร์กี อียิปต์ และแอฟริกาตะวันตกเข้ารัสเชีย และในทวีปยุโรป ก่อนเข้าสู่อเมริกาเหนือและเม็กซิโก โดยมีรายงานระหว่างปี พ.ศ.2443-2444 ว่า กาฬโรคได้คร่าชีวิตคนในภาคตะวันออกของจีน ประมาณ 60,000 คน และในปี พ.ศ.2453-2454 ที่แมนจูเรีย มีคนเสียชีวิตประมาณ 10,000 คน จากนั้น ต่อมายังมีรายงานการระบาดของ กาฬโรคปอด ที่รัฐแคลิฟอเนียและประเทศรัสเซียอีกด้วย

การระบาดของกาฬโรคในประเทศไทย

สำหรับการระบาดของกาฬโรคในประเทศไทยนั้น นายแพทย์ เอช แคมเบล ไฮเอ็ด เจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล (Principal Medical Officer of Bangkok City) ได้รายงานการระบาดของกาฬโรคครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2447 ที่บริเวณตึกแดงและตึกขาว ซึ่งเป็นโกดังเก็บสินค้า ในจังหวัดธนบุรี และเป็นที่อยู่ของพ่อค้าชาวอินเดีย ก่อนที่จะระบาดมายังฝั่งพระนคร และกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่มีการติดต่อค้าขายกับกรุงเทพฯ โดยทางบก ทางเรือและทางรถไฟ แต่ครั้งนั้นไม่ได้เก็บสถิติจำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่แน่นอน

จากนั้น ในปี พ.ศ.2456 ได้มีรายงานปรากฏว่า กาฬโรคได้คร่าชีวิตชาวนครปฐมไป 300 คน ก่อนที่จะมีการระบาดอีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้าย ในปี พ.ศ.2495 ซึ่งครั้งนั้น มีรายงานพบผู้ป่วยกาฬโรค 2 ราย เสียชีวิต 1 ราย ที่ตลาดตาคลี จนถึงปัจจุบันผ่านมา 57 ปีแล้ว ยังไม่มีรายงานว่ามีการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด ในประเทศไทย

การรักษา กาฬโรคปอด

กาฬโรคปอด สามารถรักษาได้ด้วยการทานยาปฏิชีวนะ เช่น สเตรปโตมัยซิน ( streptomycin), เตตระซัยคลิน (tetracycline) หรือ คลอแรมเฟนิคอล (chloramphenicol) เป็นเวลา 7 วัน

การป้องกันการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด

1.สำรวจหนูและหมัดหนู โดยการควบคุมและกำจัดหนูในโรงเรือน และเรือสินค้ากำจัดหมัดหนูโดยใช้ยาฆ่าแมลง และป้องกันไม่ให้มีหนูมากัด

2.อย่าไปสัมผัสกับสัตว์กัดแทะที่ป่วยตาย เช่น หนู กระรอก ถ้าจะจับไปทิ้งต้องสวมถุงมือ

3.ให้คำแนะนำเรื่องสุขศึกษาให้กับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้รู้วิธีป้องกันโรค กาฬโรคปอด และหากมีอาการสงสัยว่า ป่วยเป็น กาฬโรคปอด ให้เข้ารับการตรวจรักษาโดยเร็ว

4.มีมาตรการควบคุมระหว่างประเทศ

5.ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชนแออัด และทำความสะอาดชุมชนแออัดให้ดีขึ้น

6.ผู้ที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย กาฬโรคปอด ควรกินยาเตตระซัยคลินสำหรับป้องกัน และใช้ถุงมือ ผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด

7.ให้วัคซีนแก่ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค ซึ่งจะช่วยลดอัตราป่วยด้วยโรคนี้ได้มาก

อย่างไรก็ตาม แม้ข่าวการระบาดของ กาฬโรคปอด จะดูไกลตัวสำหรับชาวไทย แต่เราก็ไม่ควรประมาท เพราะ โรคกาฬโรคปอด สามารถติดต่อได้โดยการแพร่กระจายทางอากาศ ดังนั้นป้องกันตัวเองไว้ดีที่สุดค่ะ




ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กาฬโรคปอด ระบาดจีนผวาหนัก (เดลินิวส์)

ดับแล้ว 3 สั่งปิดเมืองป่วยอีก 10 รายที่มณฑลชิงไห่ รับเชื้อร้ายถึงตายได้ใน 24 ชั่วโมง ยุโรปเคยเสียชีวิต 25 ล้านคน

รัฐบาลจีนสั่งปิดทั้งเมืองเพื่อกักกันโรค และป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคกาฬโรคปอด ซึ่งคร่าชีวิตผู้ป่วยไปแล้ว 3 ศพ แถมยังติดเชื้ออีก 10 คน ในเมืองจื่อเคอถาน มณฑลชิงไห่ ขณะที่องค์การอนามัยโลกก็ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสาธารณสุขแดนมังกร ระบุเป็นเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกับกาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่ทำคนตายมาแล้วในยุโรปถึง 25 ล้านคน เผยติดเชื้อตายได้ใน 24 ชั่วโมง

"วิทยา" เตือนประชาชนอย่าตื่นตระหนก กาฬโรคปอด ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุ โรคนี้เกิดจากสัตว์ กลุ่มฟันแทะ ระบาดง่ายแพร่สู่คนได้ทางอากาศ

สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงปักกิ่งประเทศ จีนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ว่า สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตรายที่ 2 เป็นชายวัย 37 ปี ชื่อนายตันซิน อาศัยอยู่ที่เมืองจื่อเคอถาน ในมณฑลชิงไห่ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน เสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วย โรคกาฬโรคปอด ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยนายตันซิน นั้นเป็นเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตรายแรก เป็นชายวัย 32 ปี ไม่ระบุชื่อ ยึดอาชีพเลี้ยงสัตว์ เป็นผู้ติดเชื้อรายแรก จึงเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อกักกันโรคแต่ก็เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมีผู้ติดเชื้ออีก 10 คน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นญาติผู้เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตรายแรก

และล่าสุดผู้เสียชีวิตรายที่ 3 เป็นชายวัย 64 ปี เสียชีวิตลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อาศัยอยู่ในเมืองจื่อเคอถาน จังหวัดซิงไห่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน


ตามรายงานระบุว่า พบการระบาดของโรค ตั้งแต่ วันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชน 9 รายล้มป่วยลง และพบผู้เสียชีวิตรายแรก เป็นชายวัย 32 ปี และ รายที่สองเป็นชายเช่นกันอายุ 37 ปี และล่าสุด รายที่สามเป็นชายวัย 64 ปี เสียชีวิตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะนี้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ป้องกันการแพร่กระจายออกนอกพื้นที่แล้ว

สำหรับเมืองจื่อเคอถาน เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยชาวทิเบต มีประชากรอยู่ราว 10,000 คน ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขของจีนจึงได้มีคำสั่งให้ปิดเมืองจื่อเคอถาน และพื้นที่ใกล้เคียง ห้ามติดต่อกับโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด พร้อมกันนั้นก็ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ โดยมีคำสั่งประกาศเตือนว่า หากผู้ใดมีอาการไอหรือไข้ขึ้นสูงหลังจากที่เข้าไปที่เมืองนี้ นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา ขอให้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วน

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานองค์การอนามัย โลกประจำประเทศจีน ระบุว่า ได้ประสานงาน อย่างใกล้ชิดกับทางสำนักงานสาธารณสุขของจีนเรื่องมาตรการที่นำมาใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และการกักกันโรค ส่วนสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า น.ส.วิเวียน ตัน โฆษกองค์การอนามัยโลกประจำกรุงปักกิ่งแถลงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะมีการตรวจพบเป็นระยะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจึงไม่แปลกใจที่พบโรคนี้ เรากำลังประสานกับทางการจีนเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถควบคุมได้ โรคกาฬโรคปอด เกิดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลของประเทศ ดังนั้นจึงน่าจะช่วยทุเลาความรุนแรงลงได้บ้าง

ด้านชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ ชื่อนายฮั่นเป็นคนขายอาหารตามแผงในตลาดคริสตัล แอลลีเมืองจื่อเคอถาน กล่าวว่าทางการได้ประกาศให้ร้านค้าและบ้านเรือนจัดการทำความสะอาด และประชาชนควรสวมหน้ากากหากออกนอกพื้นที่ ขณะนี้ร้อยละ 80 ของเมืองปิดกิจการชั่วคราว และราคาสินค้าประเภทยาฆ่าเชื้อโรคและพืชผักมีราคาสูงเป็น 3 เท่าจากปกติ ส่วนเจ้าหน้าที่ของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อในเมืองจื่อเคอถาน บอกว่า มาตรการปิดเมืองนี้เป็นระเบียบปฏิบัติที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย และเหตุผลด้านวิทยาศาสตร์

สำหรับ โรคกาฬโรคปอด นั้น สามารถแพร่ กระจายไปในอากาศ ทำให้เชื้อแพร่ระบาดได้ง่ายจากคนสู่คนโดยเฉพาะจากผู้ป่วยที่มีอาการไอ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับกาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ซึ่งเคยคร่าชีวิตผู้ป่วยถึง 25 ล้านคนในทวีปยุโรปในยุคกลาง โดยกาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ เกิดจากสัตว์ประเภท เห็บ หมัด เป็นพาหะนำโรค สามารถรักษาได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะหากพบอาการติดเชื้อตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม กาฬโรคปอด เป็นโรคติดเชื้อชนิดร้ายแรงอีกโรคหนึ่งตามรายงานขององค์การอนามัยโลกว่า ผู้ติดเชื้ออาจเสียชีวิตได้ใน 24 ชั่วโมง

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการแพร่ระบาดของ กาฬโรคปอด ในชนกลุ่มน้อยทิเบต สาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ไม่อยากให้ตื่นตระหนก เพราะเป็นการแพร่ระบาดในหมู่คนจำนวนน้อย ยังไม่ลุกลามข้ามประเทศ อย่างไรก็ตามได้สั่งให้กรมควบคุมโรค และสำนักระบาดวิทยา เฝ้าติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เนื่องจากโรคนี้ห่างหายจากประเทศไทยไปนานนับ 10 ปี และต่างจากกาฬโรคทั่วไป ที่จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ แต่ กาฬโรคปอด เชื้อจะลงปอดทำให้ปอดอักเสบเฉียบพลัน ขอเตือนคนไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำงานให้ระวังตัวเองงดเว้นเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง แต่คงไม่ถึงขั้นสั่งห้ามเดินทางไปประเทศจีน เพราะจีน เป็นประเทศใหญ่ มีหลายมณฑล

นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กาฬโรคปอด เป็นโรคติดต่อร้ายแรง แพร่เชื้อจากคนสู่คนด้วยการไอ จาม เชื้อจะลงไปทำลายปอด ทำให้การหายใจ ล้มเหลว สาเหตุการเสียชีวิต โรคนี้เกิดจากสัตว์ กลุ่มฟันแทะ ทั้งหนู แมว เห็บ หมัด และแพร่สู่คน แพร่กระจายได้ทางอากาศ ระบาดได้ง่ายโดยทั่วไปองค์การอนามัยโลกจะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด และประกาศปิดพื้นที่ระบาด ห้ามเคลื่อนย้ายคนหรือสัตว์ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย สำหรับประเทศไทยได้สั่งการให้ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดใหญ่ของการเดินทางระหว่างประเทศ





ข่าว โรคกาฬโรคปอด รู้ทันภัย โรค กาฬโรคปอด Part.1/2





ข่าว โรคกาฬโรคปอด รู้ทันภัย โรค กาฬโรคปอด Part.2/2





ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม

- สำนักโรคติดต่อทั่วไป
- technoinhome.com









++ The Prince Of Red Shoe ++


Nathan is adamant he’s not lying, but 20th Century Fox says “He’s Crazy!”

Yesterday teary Nathan Oman gave a press conference to confirm he’s not lying about his debut in a Hollywood movie “The Prince of Red Shoe” starring alongside Bruce Willis and Christina Ricci. The former RS Promotion singer was pushed to come forward to the media after his business partner DJ JJ of Easy FM 105.5 came out to expose him.

DJ JJ announced to the press that Nathan is in fact a liar, he lied about the Hollywood movie, his ethnicity and his age. According to his identity card – Nathan Oman, real name Thanyawat Yoontrakoon is in fact 34 years old and not in his twenties as claimed in his profile. However despite the evidence, Nathan is adamant he is not a liar. On the other hand Twentieth Century Fox, Thailand reveals to Dailyworld - the movie does not exist and the man is “Crazy!”

With tears in his eyes, Nathan confirms he’s not lying. So how is this saga ever going to end if the suspected liar refuses to plead guilty?

Credit : http://dirtiilaundry.wordpress.com/2009/07/29/nathan-is-adamant-hes-not-lying-but-20th-century-fox-says-hes-crazy/

ินาธาน โอมาน ประวัตที่ใครๆ อยากรู้




ประวัตินาธาน โอมาน ที่ใครๆ อยากรู้



นาธาน โอมาน
นาธาน โอมาน

นาธาน โอมาน
นาธาน โอมาน



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

กลายเป็นประเด็นฮอตขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากที่ "ดีเจ.เจเจ - จามจุรี แคสเชอร์" แจ้งความกล่าวหาดารา-นักร้องหนุ่ม นาธาน โอมาน ยักยอกเงินค่าประกันและค่าเช่าร้านเป็นเงินหลายหมื่นบาท บวกกับในวงการอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะเว็บไซต์พันทิป ระบุว่า นาธาน โอมาน ไม่ได้โกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง the prince of red shoe ร่วมกับ "บรู๊ซ วิลลิส" ที่ประเทศตะวันออกกลางตามที่กล่าวอ้าง เนื่องจากเมื่อไปเช็คข้อมูลหนังเรื่องนี้ตามอินเทอร์เน็ต กลับไม่พบแต่อย่างใด พร้อมๆ กับเสียงเม้าท์ว่า จริงๆ แล้ว นาธาน โอมาน สร้างประวัติตัวเองขึ้นมาใหม่ เพราะไม่ได้เป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล ฯลฯ จนทำให้ใครๆ ก็อยากจะรู้จัก ประวัตินาธาน โอมาน ว่าเป็นใคร มาจากไหน วันนี้กระปุกดอทคอทจะพาไปค้น ประวัตินาธาน โอมาน หนุ่มปริศนาคนนี้กันค่ะ...

ประวัตินาธาน โอมาน

นาธาน โอมาน (Nathan Oman) หรือ นายนธัญ โอมานันท์ เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2524 เป็นลูกครึ่งไทย (สตูล) - เนปาล ส่วนสูง 179 เซนติเมตร น้ำหนัก 66 กิโลกรัม เกิดและโตที่เนปาล ก่อนที่ นาธาน โอมาน จะหนีออกจากบ้านและมาอยู่ประเทศไทยเมื่อตอนอายุ 15 ปี ด้วยกระเป๋าหนึ่งใบและหัวใจกว้างๆ หนึ่งดวง โดยเริ่มเข้าเรียนต่อที่นานาชาติ ภูเก็ต ก่อนมาเข้าเรียนเพาะช่าง 2 ปี และย้ายไปศึกษาระดับปริญญาตรี ที่คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะสมัยเด็กๆ เด็กชายนาธานชื่นชอบศิลปะมากกว่าวิชาอื่นๆ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก โดยหนุ่มคนนี้บอกว่าศิลปะเป็นสิ่งดีจะติดตัวเราไปทุกที่ และเขาก็รักศิลปะ พร้อมกับได้เรียนรู้ศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่เนปาลแวดล้อมไปด้วยศิลปะ โรงเรียนที่นั่นเน้นสอนวิชาทางศิลปะ โบราณคดี ภาษา มากกว่าคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

ส่วนงานอดิเรก นาธาน โอมาน ชอบเล่นกีฬา ท่องเที่ยว รวมถึงสะสมภาพถ่าย ซีดีเพลง และผลงานตัวเอง แต่ถ้ามีเวลาว่างเขาจะชอบอ่านหนังสือ แต่งบ้าน ทำงานศิลปะ และถ้ามีเวลามากๆ เขาก็ไม่รอช้าที่จะแพ็คกระเป๋าเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญเขามีความสามารถพูดได้ 5 ภาษา คือ ฝรั่งเศส, เนปาล, รัสเซีย, อังกฤษ และภาษาไทย

สำหรับเส้นทางในวงการมายาของ นาธาน โอมาน นั้น เริ่มด้วยการถ่ายแฟชั่นตามนิตยสาร ถ่ายโฆษณาสินค้านานาชนิด และด้วยหน้าตาที่คมเข้มจนไปสะดุดตาค่ายอาร์เอส จนชักชวนให้มาเป็นศิลปินในสังกัด มีอัลบั้มแรกสไตล์ป็อปร็อกชื่อ Nathan ตามมาด้วยอัลบั้มที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในเวลาไม่นาน และวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 ชื่อของเขาก็ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับอีกครั้ง หลังจากเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติไปมากมาย ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีผู้ที่รอดชีวิต และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ นาธาน โอมาน รวมอยู่ด้วย ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลายๆ รายการเชิญหนุ่มคนนี้ไปบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่จากนั้นชื่อของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปจากแวดวงสื่อบันเทิง จะมีก็แต่กระแสเล็กๆ น้อยว่า เขาเปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet) บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและประเทศบ้านเกิด ฝากให้แฟนๆ อ่านให้หายคิดถึง


นาธาน โอมาน
นาธาน โอมาน



จนเมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.2551 นาธาน โอมาน ได้ออกมาประกาศว่า เขาได้เล่นหนังฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิ๊กบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ โดยมี วูลฟ์ กัง และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ และแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ทำให้ชื่อของเขากลับเข้ามาในสารระบบของวงการมายาอีกครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะ ผู้คนในโลกไซเบอร์ได้ทำการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่อง The Prince Of Red Shoe แต่หนังเรื่องดังกล่าวกลับไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่า นาธาน ไปเล่นหนังฮอลลีวูดจริงๆ จึงกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในกระทู้เป็นวงกว้าง พร้อมๆ กับเม้าท์กัยสนุกปากว่า เขาเป็นคนลวงโลก พูดจาโกหก สร้างเรื่องขึ้นเพื่อต้องการโปรโมทตัวเอง รวมไปถึงขุดคุ้ย ประวัตินาธาน โอมาน โดยระบุว่า นาธานไม่ได้เป็นลูกครึ่งเนปาลอย่างที่กล่าวอ้าง ผนวกกับที่ดีเจสาว “เจเจ” ออกมาแฉว่าโดน นาธาน โอมาน ยักยอกเงินของร้านที่เขามีหุ้นลมรวมอยู่ด้วย ทำให้ชื่อเขากลายเป็นที่สนใจขึ้นมาอีกครั้ง

แต่งานนี้ นาธาน โอมาน ก็ออกมาโต้ทันควันว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับจะแจ้งความกลับอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่มีคนกล่าวหาว่าเขาสร้างประวัติตัวเองมาหลอกคนอื่นนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะนักร้องหนุ่มยืนยันหนักแน่นว่า เป็นลูกครึ่งไทย-เนปาล พร้อมกับระบุว่า เขามีพาสปอร์ตใช้ชื่อ นธัญ โอมานันท์ ภาษาอังกฤษใช้ NATHAN OMAN และมี 2 พาสปอร์ต คือ พาสปอร์ตไทย กับโอมาน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพาสปอร์ตไทยแล้ว เพราะว่าอยู่เมืองไทยนาน ถือสัญชาติไทย และคุณแม่เป็นคนสตูล พ่อเป็นแขกขาว เป็นคนเนปาล

ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวหาว่าเขาเป็นคนลวงโลกนั้น นาธาน โอมาน เปิดใจว่า ยืนยันว่าไปถ่ายจริง แต่กระบวนการของการถ่ายหนัง ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งพูดหรือมานั่งตอบโต้ว่านี่คือรูปที่ถ่ายกับ บรู๊ซ วิลลิส รูปที่ถ่ายกับ คริสติน่า ริชชี่ หนังทั้งหมดนี่คือเบื้องหลัง พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่เหลือมันเป็นพีอาร์ของบริษัท มันเป็นสิทธิของเขา เราเป็นแค่คนๆ หนึ่ง และหนังเปิดกล้องไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่วนชื่อเรื่องที่เขาตั้งไว้ คือ Red Shoe แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่า แต่เขาตั้งชื่อไว้เป็นตัวอย่าง ส่วนสถานที่ถ่ายทำก็หลายประเทศ ทุกเมืองแขกของยูเออี มีพวกเมืองกลางทะเลทราย แทบตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศโอมาน


นาธาน โอมาน
นาธาน โอมาน



"ตอนนี้ผมบอกชื่อบริษัทไม่ได้แล้วครับ บริษัทที่ทำเป็นบริษัทเอกชน เป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาห้ามผมพูดทุกอย่างแล้ว ต่อไปในอนาคตค่อยว่ากันอีกที ทุกอย่างธานไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แล้ว เพราะพอมันเป็นอย่างนี้มันอาจจะมีผลกับหนังที่ธานถ่าย เพราะมันกลายเป็นว่าธานออกมาให้ข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียว กลายเป็นว่าธานเอาความลับออกมาบอก ธานมีรูปอยู่กับบรู๊ซ วิลลิส แต่ว่าภาพมันคือลิขสิทธิ์ มันเป็นภาพในหนัง ถ้าธานเอามามันก็เป็นการเผยความลับหนัง" นาธาน กล่าว

นาธาน โอมาน เปิดใจต่อว่า ณ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก เพราะอยู่ในวงการมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเสียๆ แบบนี้เลย ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยในวงการบันเทิง มีแต่ข่าวช่วยเหลือสังคมมากกว่าการเป็นนักร้องเสียอีก เหตุการณ์และข่าวที่เกิดขึ้นก็รู้สึกเสียใจ และไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนจ้องทำลายและทำให้เสียชื่อเสียงได้ขนาดนี้ แล้วเอาอะไรมาตัดสินว่าเขาผิด เอาอะไรมาตัดสินว่าเขาแย่มาก แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องมานั่งโกหกทำเรื่องแบบนี้

และนี่คือ... ประวัตินาธาน โอมาน พร้อมกับตัวตนของเขาค่ะ


ประวัตินาธาน โอมาน (แบบย่อ)




ลูกครึ่งไทย-เนปาล เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนพี่น้อง 3 คน ของนายฮัมเซะห์ และนางอุทัยวรรค์ โอมาน มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน

ชื่อ - สกุล : นาธาน โอมาน

ชื่อเล่น : ซาบิต

ชื่อในวงการ : นาธาน

วันเกิด : 14 พฤษภาคม 2524

สถานะ : โสด

ถิ่นกำเนิด : เนปาล

การศึกษา : ปริญญาตรี สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา คณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา

งานอดิเรก : ท่องเที่ยว, อ่านหนังสือ, แต่งบ้าน, ทำงานศิลปะ

สิ่งที่ชื่นชอบ : ว่ายน้ำ, ฟิตเนส

ของสะสม : ภาพถ่าย, ซีดีเพลง

ที่อยู่ : บริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น 419/1 อาคารเชษฐโชติศักดิ์ ลาดพร้าว 15 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ผลงานเพลง : อัลบั้มชุดแรก นาธาน สังกัด อาร์เอสฯ เพลงที่รู้จัก นางฟ้ามาโปรด(2548), อัลบั้มชุดที่ 2 สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ สังกัด อาร์เอสฯ

ผลงานเขียน : หนังสือชื่อ ผมมันเด็กหลังเขา(หิมาลัย)

ผลงานภาพยนตร์ : ร่วมแสดงภาพยนตร์ฮอลีวู้ด เรื่อง The Prince Of Red Shoe หรือ เดอะ พรินซ์ ออฟ เรด ชู หรือ เจ้าชายรองเท้าแดง ของผู้กำกับ วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซ่น

ผลงานถ่ายแฟชั่น : Image/ Lip/ Popteen/ Omo(ญี่ปุ่น)

ผลงานโฆษณา : DTAC/ 7Eleven/ Fanta/ Nokai8310/ GSM(เวียดนาม, อินโดนีเซีย) / Clinic (อินโดนีเซีย)



คลิป นาธาน โอมาน เเถลงกรณีโกงเงิน - ลวงโลก
เผย ประวัตินาธาน โอมาน ผ่าน สรยุทธเจาะข่าวเด่น 1



คลิป นาธาน โอมาน เเถลงกรณีโกงเงิน - ลวงโลก
เผย ประวัตินาธาน โอมาน ผ่าน สรยุทธเจาะข่าวเด่น 2






ขอขอบคุณข้อมูลจาก
, , , ,

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ






<< 7 ก้าวสู่ความสำเร็จ >>

โดย จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์

ใครบ้างไม่อยากประสบความ สำเร็จ? ถามแบบนี้อาจฟังดูแปลก ถึงอย่างนั้นคนที่คุณรู้จักส่วนใหญ่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จกับเขาสักที ได้แต่เฝ้าฝันถึง พูดถึง แต่ไม่เคยได้รับความสำเร็จเลย ซึ่งก็น่าเสียดาย

ทำไมเป็นเช่นนั้น? เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความสำเร็จนั่นเอง มันไม่ใช่ล็อตเตอรี่ ไม่ใช่ว่าคุณจะแวะร้านสะดวกซื้อขากลับบ้าน ซื้อสลากสักใบ แล้วรอให้ความสำเร็จมาหล่นทับได้ อีกทั้งมันไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะได้เจอยามเมื่อชีวิตสุกงอมจนถึงระดับหนึ่ง ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่อยู่ปลายทาง แต่เป็นสิ่งประจำวันนี่แหละ ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จอันแท้จริงได้ก็คือ สร้างมันทีละวัน

ความจริงเรื่องความสำเร็จ

ความสำเร็จนั้นใช่ว่าคุณต้องมีโชคหรือเงินทอง แต่คุณพึงรู้ว่า

* แต่ละวันคุณทำอะไร คุณก็เป็นอย่างนั้น
* คุณสร้างนิสัยขึ้นก่อน แล้วนิสัยก็สร้างตัวคุณ
* การสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จนั้นง่ายพอๆ กับสร้างนิสัยแห่งความล้มเหลว

ทุกๆ วันที่มีชีวิตอยู่ คุณกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าคุณได้สร้างอะไรให้แก่ตัวเองบ้าง ผมขอแนะวิธีบางอย่าง ที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่ตัวคุณ

เจ็ดก้าวสู่ความสำเร็จ

1. จงถือเป็นหน้าที่ที่จะเติบโตขึ้นทุกวัน คนเราทำข้อผิดพลาดใหญ่หลวงอย่างหนึ่งก็คือ พุ่งเป้าผิด ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการได้มา การบรรลุถึง หรือการก้าวไปข้างหน้า แต่เกิดจากผลของการเติบโตเท่านั้น ถ้าคุณตั้งเป้าว่าจะเติบโตขึ้นทีละนิดทุกวัน ไม่นานคุณก็จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในชีวิต
อย่างที่ โรเบิร์ต บราวนิง กวีชาวอังกฤษกล่าวว่า “อยู่ในโลกไปไย หากไม่ใช่เพื่อเติบโต?”

2. ให้ความสำคัญแก่กระบวนการยิ่งกว่าผล ผลชัดเจนในชีวิตนั้นเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจที่ดี แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงและเติบโตต่างหากที่จะยืนยง ถ้าคุณอยากก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่ง ก็จงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

3. อย่ารอคอยแรงดลใจ เจอร์รีย์ เวสต์ ยอดนักเบสบอลกล่าวว่า “ชีวิตคุณคงไม่ไปไหน หากลงมือทำงานเฉพาะแต่ในวันที่คุณรู้สึกดี” ผู้ที่ก้าวไปได้ไกลก็เพราะเขาหมั่นเตือนตัวเองทุกวัน ทุ่มเทให้ชีวิตสุดตัวไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม จะมีความสำเร็จได้ก็ต้องมุ่งมั่นบากบั่น

4. เต็มใจสละความสุขเพื่อสร้างโอกาส หนึ่งในบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อสอนผมก็คือ หลักของการ จ่ายเดี๋ยวนี้ สุขีวันหน้า เพราะทุกสิ่งในชีวิตนั้น คุณต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง จะเลือกจ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม หรือจ่ายหลังสุดก็ต้องจ่ายทั้งนั้น ถ้าคุณจ่ายแต่แรก คุณก็จะมีสิทธิ์รับผลตอบแทนที่ยิ่งกว่าในภายหลัง แถมผลนั้นยังหอมหวานกว่าด้วย

5. ฝันให้ใหญ่ การฝันเรื่องเล็กๆ นั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า โรเบิร์ต เจ. ครีเกล กับ หลุยส์ แพตเลอร์ ผู้ เขียนหนังสือ ถ้ามันไม่แตก ก็ทุบมันเลย (If It Ain’t Broke, Break It) ย้ำว่า “เราบอกไม่ได้หรอกว่าขีดจำกัดของคนเราอยู่ตรงไหน การทดสอบ นาฬิกาจับเวลา และเส้นชัยทั้งหลายในโลกนี้ไม่อาจชี้วัดศักยภาพของมนุษย์ได้ หากใครกำลังสานฝันให้เป็นจริง คนคนนั้นก็ก้าวพ้นสิ่งที่ดูจะเป็นขีดจำกีด ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเรานั้นไม่มีขีดจำกัด และยังไม่ปลดปล่อยออกมาเป็นส่วนใหญ่ หากคุณคิดถึงขีดจำกัด ก็เท่ากับคุณสร้างขีดจำกัดขึ้นมาแล้ว”

6. หัดจัดลำดับความสำคัญ สิ่งหนึ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนมีเหมือนกันก็คือ ต่างเชี่ยวชาญเรื่องการจัดเวลา ก่อนอื่นเขาจะจัดระเบียบตัวเองเป็นอันดับแรก เฮนรี่ ไคเซอร์ ผู้ก่อตั้งไคเซอร์อะลูมิเนียม และศูนย์สุขภาพไคเซอร์เพอมาเนนเต กล่าวไว้ว่า “ทุกนาทีที่ใช้วางแผน จะช่วยลดเวลาให้คุณเป็นสองเท่า ยามลงมือทำ” คุณเรียกเวลาที่สูญเสียไปกลับมาไม่ได้ ฉะนั้นจงใช้เวลาทุกขณะให้คุ้ม

7. เลิกเพื่อเลื่อนระดับ ไม่มีสิ่งมีคุณค่าใดที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรบางอย่างไป ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยช่วงเวลาสำคัญ ที่คุณจะมีโอกาสแลกสิ่งมีค่าบางอย่างเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่ง จงตั้งใจมองหาช่วงเวลาที่ว่านั้น และให้แน่ใจว่าทุกครั้งคุณแลกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ไม่ใช่น้อยกว่า

ถ้าคุณทุ่มเทตั้งใจทำเจ็ดก้าวข้างต้นนี้ คุณจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็จะประสบความสำเร็จ การเติบโตของคุณอาจไม่ปรากฏให้คนอื่นเห็นอย่างเด่นชัดในทันที แต่ คุณ จะแลเห็นความก้าวหน้าของตนเองแทบจะในทันทีทันใด และแม้คนอื่นจะยอมรับช้าไปบ้างก็อย่าท้อใจ ให้พยายามต่อไป คุณจะประสบความสำเร็จในที่สุด

ขณะ ที่คุณก้าวรุดหน้าไปในแต่ละวันนั้น จงใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อสร้างเสริมทัศนคติและดุลพินิจของคุณ เปิดอ่านครั้งเดียวหรือสองครั้งให้จบ แล้วเก็บไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ในรถ หรือในกระเป๋าทำงาน เมื่อมีเวลาก็พลิกอ่านเพื่อทบทวนว่า การประสบความสำเร็จนั้นหมายถึงอะไร

นี่จะเป็นช่วงก้าวย่างอันเหลือเชื่อ! บางครั้งคุณจะพบกับความตื่นเต้น และบางครั้งความมีวินัยเท่านั้นที่จะทำให้คุณยืนหยัดไปจนตลอดรอดฝั่งได้ แต่จงจำไว้เสมอว่า ความสำเร็จกำลังรอคอยให้คุณเปิดฉากก่อน มาเริ่มต้นกันเถอะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.recovery.ac.th/forum/index.php?topic=1264.0

รถยนต์พลัง H2O


รถยนต์พลัง H2O


1. ไฮโดรเจนคืออะไร

ตอบ น้ำที่เราใช้ดี่ม ใช้ชำระร่างกาย และนานาประโยชน์ มีองค์ประกอบอยู่ในรูป H2 O กล่าวคือ ไฮโดรเจน 2 ส่วน และออกซิเจน 1 ส่วน เราใช้ไฟฟ้า เป็นตัวทำปฏิกิริยา แยกเอาเฉพาะก๊าซไฮโดรเจน ออกมาเป็นเชื้อเพลิง



2. ก๊าซไฮโดรเจนนี้ ใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม กับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหลัก อะไรได้บ้าง

ตอบ ใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม กับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงหลัก เช่น เบนซิน
ดีเชล B5 แก๊สโซฮอลล์91 แก๊สโซฮอลล์95



3. ใช้กับรถยนต์ที่เป็นรุ่นหัวฉีด คอมมอนด์เรล คาบูเรเตอร์ หรือ เครื่องเจได้ไหม

ตอบ ใช้ได้ เพราะก๊าซไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนสูงกว่า น้ำมันเบนซิน ดีเซล ทำให้การจุดระเบิดในห้องเครื่องยนต์ดีกว่า สันดาปสมบูรณ์ ส่งผลให้อัตราเร่งดีขึ้นเครื่องยนต์สะอาดไม่เป็นมลภาวะทางอากาศ



4. ถ้านำไปติดตั้งกับเครื่องยนต์ขนาด 3000 cc.ขึ้นไป หรือนำไปติดตั้งกับ เรือ รถบรรทุกหัวลาก รถไถนา รถสิบล้อ หรือ รถทัวร์ได้หรือไม่

ตอบ สามารถติดตั้งได้ โดยใช้รุ่นของเครื่องผลิตไฮโดรเจนตามขนาดของเครื่องยนต์



5. ติดตั้งใช้แล้วจะมีผลกระทบอะไรกับเครื่องยนต์หรือไม่

ตอบ ไม่มีผลใด ๆ ต่อเครื่องยนต์ เพราะยังใช้ร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่



6.การติดตั้งต้องมีการเจาะตัดดัดแปลงหรือเปลี่ยนเครื่องเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถยนต์

เดิมๆ หรือไม่

ตอบ ไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชิ้นส่วนเดิมของเครื่องยนต์แม้แต่อย่างเดียว เรานำก๊าซไฮโดรเจนเข้าทางท่อไอดี( ท่อดูดอากาศของรถยนต์ ) เพื่อให้เครื่องยนต์ดูดเอาก๊าซไปใช้เป็นพลังงานร่วมกับเชื้อเพลิงหลักเดิม ของรถยนต์ที่ใช้อยู่แล้ว



7. กรณีรถชนกัน จะเกิดการระเบิดได้หรือไม่

ตอบ ไม่เกิดการระเบิด เพราะเมื่อเครื่องสร้างก๊าซให้เกิดขึ้นแล้ว เครื่องยนต์จะดูดไปใช้เลยไม่มีการสะสม หรือเก็บไว้ในถังเหมือนกับแก๊ส NGV หรือ LPG



8. ติดตั้งเครื่อง รถใช้น้ำ แล้วดีอย่างไร

ตอบ ใช้ไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงร่วม กับเชื้อเพลิงหลักเดิม ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงถึง 40-60%(ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์และการใช้งานของผู้ขับขี่ )ช่วยลดภาวะโลกร้อน เครี่องยนต์มีแรงม้าเพิ่มขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าและช่วยประเทศชาติประหยัด



9.ถ้าใช้เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อการสึกของเครื่องยนต์หรือไม่ ถ้ามีจะเป็นอย่างไร

ตอบ ไม่มีผลกระทบ เพราะเราใช้ก๊าซไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงร่วมเเละยังคงใช้เชื้อเพลิงเดิมอยู่ (น้ำมัน)



10. อายุการใช้งานนานเท่าไหร่

ตอบ เเยกกันเป็น 2 ส่วนคือ 1.ระบบอิเล็กทรอนิกส์การใช้งานก็เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป

2.ถังผลิต H2O มากกว่า 5 ปี เเต่สามารถซ่อมได้ทุกชิ้นส่วน



11. ใช้พลังงานไฟจากแบตเตอร์รี่ในการทำงานเท่าไหร่

ตอบ 5-35 A หรืออยู่ที่การตั้งค่าการติดตั้ง



12. มีผลต่ออายุการใช้งานของ Battery (แบตเตอรี่) หรือไม่

ตอบ ไม่มีผลเพราะระบบ Hydrogen Gernerator ของเรามีระบบ Power Control ที่ควบคุมระบบการจ่ายไฟ

จึ่งทำให้หมดปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เสื่อม



13. สามารถใช้กับรถที่ติดตั้งแก๊ส NGV หรือ LPG ได้หรือไม่

ตอบ รถยนต์ที่ใช้เเก๊ส NGV หรือ LPG เป็นเชื้อเพลิงหลักสามารถนำก๊าซไฮโดรเจนไปเป็นเชื้อเพลิงร่วมได้ ช่วยให้เเรงม้าเครื่องยนต์เพิ่มอัตราการเร่ง การออกตัวดีขึ้น การเผาไหม้เครื่องยนต์สมบูรณ์ ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้นานขึ้น เเละช่วยประหยัดเงินในการซื้อเเก๊สเติมโดยการปรับอัตราส่วนผสมลดลง เพราะน้ำมีต้นทุนที่ต่ำ ใช้น้ำบ่อน้ำตามเเหล่งธรรมชาติได้ทุกอย่างไม่ต้องซื้อหา



14. บริษัทประกันภัยจะรับเคลมหรือไม่

ตอบ บริษัทไม่ได้ทำประกันภัยไว้กับเครื่อง H2O



15. ต้องเติมน้ำบ่อยหรือไม่

ตอบ ไม่บ่อย เพราะถังสำรองน้ำของเรามีขนาดใหญ่สุด 5 ลิตรและ2ลิตร เติมครั้งเดียววิ่งได้ระยะทางที่น่าพอใจ



16. ไฮโดรเจนจะระเบิดได้ไหม

ตอบ สามารถระเบิดได้ในกรณีที่เก็บไว้ในถังที่มีอุณหภูมิสูง แต่ระบบ Hydrogen Generator ของเราเป็นเครื่องผลิตไม่ใช่ถังเก็บและเครื่องจะผลิตเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ระดับที่ตั้งไว้

เท่านั้นเพราะฉะนั้นปัญหาการระเบิดจึงมีเปอร์เซนต์น้อยมากหรือถ้ามีตกค้างการระเบิดจะเท่า

กับลูกโป่งแตกหรือเท่ากับเสียงจุดประทัด จึงไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อทรัพย์สินของท่าน



17. ต้องเสียภาษีเพิ่มหรือแจ้งกับกรมการขนส่งหรือไม่

ตอบ ไม่ต้องแจ้งเพราะระบบที่เราไปติดตั้งให้ลูกค้า เราไม่มีการดัดแปลงเครื่องยนต์ หรือมีถังเพื่อเก็บแบบแก๊ส

ซึ่งจะต้องแจ้งและลงทะเบียนกับขนส่ง แต่อุปกรณ์ที่เราติดเป็นเครื่องผลิตไฮโดรเจนขนาดเล็ก ๆ ที่ี่ต่อเข้ากับระบบ

รถยนต์ และบริษัทได้ติดต่อเรื่องนี้กับกรมการขนส่งแล้ว



18. สามารถใช้ไฮโดรเจน 100 % โดยไม่ต้องใช้ร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้หรือไม่

ตอบ ไม่สามารถทำได้ เพราะ รถยนต์ในปัจจุบัน ไม่ได้รองรับให้ใช้ไฮโดรเจน ได้ 100% เพราะฉะนั้นจะต้องมี น้ำมันเป็นเหมือนฟิล์มป้องกันการทำงานของเครื่องยนต์



19. การทดสอบบริษัทใช้การทดสอบอย่างไรเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน

ตอบ

บริษัทได้ทำการทดสอบทั้งในห้องทดลองและทดสอบกับรถโดยทดลองวิ่งในระยะ
ทางเดียวกันและสภาวะเดียวกัน ทั่วทั้งประเทศไทย



20. เวลาผลิตไฮโดรเจนเครื่องร้อนมาก มีวิธีการป้องกันอย่างไร



ตอบ มีระบบระบายความร้อนโดยอัตโนมัติ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.h2o-driving.com/page4.html

2012 วันสิ้นโลก..เรื่องจริงอิงจากนักดาราศาสตร์

ด้วยความสงสัยของผมว่าทำไม 2012 จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน

บางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจาเหตุโลกร้อน

บางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้ากำหนดมา


แต่มีสิ่งที่นึงที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมเกี่ยวปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้

และถ้าเกิดขึ้นก็จบ... ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่าเท่านั้น


เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล

ถ้าใครได้พอดูความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆ

แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้ว

ซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน

มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)


และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า...

สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้


แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ...

ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?


ิสิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ....


ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว

แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้


แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ


ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย


ลดขนาด: 74% จากขนาดเดิม [ 686 x 514 ] - คลิกเพื่อดูภาพขยาย


(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)


อันนี้ใช้เทคโนโลยี้ขั้นสูงในการถ่ายซูมครับ ทำให้รู้ได้ว่า ดาวนี้เป็น ดาวฤกษ์ครับ


และทับเข้ามาแค่ไหน


เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลกเลยครับ

แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกเราอย่างแน่นอน!!!


รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิรุครับ


มันเข้าใกล้มาจริงเร้อ?


เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าทางเราส่องดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะเห็น


แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว


(เส้นขาวๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครับ)


และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ของโลกนะ

ครับ

แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ...


แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีตหละ

นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน


แต่มารอบนี้ มาเทียบและทาบวงโคจรของดาวนิบิรุ คาดว่ามีโอกาสที่จะชนกันสูง

หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตราย


เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ

เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ นา


และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว


ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA :Xปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น


ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!!

(ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)


ปล. งานนี้ก้อถึงเวลาที่ธรรมชาติเลือกเราของแท้แล้วละนะครับ


ส่งต่อๆกันมานะครับ....มีแถมให้หน่อย

อย่างที่รู้ๆกันว่า ดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า นิบิรุ จะโคจรเข้ามาใกล้โลก ซึ่งมีผลกระทบอย่างแน่นอน แต่ใครมีความรู้ดีๆเรื่องมั้ง มาคุยกันดีกว่าเนอะ (ก่อนหน้านั้นเผลอปิดกระทู้ไป -*-)ดาวนิบิรุ (Planet X Nibiru)สันนิฐานว่าถูกดวงอาทิตย์จับไว้เมื่อ 500,000 ปีก่อน

ก่อนและหลังจากการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก

ผลกระทบ (เท่าที่รู้มา)

เนื่องจากมันเป็นดาวฤกษ์ ซึ่งถ้ามันโคจรเข้าใกล้ๆวงโคจรของระบบสุริยะนี้ ก็สร้างความปั่นป่วนได้แล้ว (ปัจจุบัน ดาวยูเรนัสกับเนสจูนโดนเป็นประจำ) และวิถีโคจรของมันโดยองค์กรนาซ่าบอกว่า...จะโคจรเข้า มาใกล้มาๆและมันจะโคจรเข้าเป็นเส้นตรงพอดีในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 (ช่วงจบกึ่งกลางพุทธกาลพอดี) ก็คือ ดวงอาทิตย์ โลก และนิบิรุ อยู่ในระนาบเดียวกันพอดี วันนั้นจะเป็นวันวิบัติซึ่งจะมีผลดังนี้

1.สร้างความปั่นป่วนให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
2.น้ำจะขึ้นสูงมากๆจนเกิดวิกฤติการ์ที่เรียกว่า น้ำท่วมโลกหรือซุปเปอร์ซึนามิ
3.แผ่นดินไหวและภูเขาไฟไปทั่วโลก
4.ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
5.การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
6.ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก
7.สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
8.กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใ กล้โลกได้ง่ายขึ้น
9.แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (มนุษย์น่าจะกระโดดได้สูงขึ้นกว่าเดิม)



ไม่หมดเพียงเท่านี้ หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่กี่เดือน เราจะเจอพายุสุริยะเข้าอย่างจัง ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่า สนามแม่เหล็กโลกช่วยป้องกันไม่ให้มันมีผลกระทบมากนัก เมื่อไม่มีก็วิบัติ มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือชนเผ่ามายาหรือมายันนี่เอง พวกเขาได้ทำปฏิทินไว้สองแบบก็คือ


แบบที่หนึ่ง สามารถเทียบเคียงได้กับปฏิทินจริงที่เราใช้กันในปัจจุบัน และมีความคลาดเคลื่อนกันน้อยมาก

แบบที่สอง คือปฏิทินที่ข้างบนๆได้กล่าวไว้ (หมายถึงมีถึงแค่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012)

เรื่องราวต่างเป็นที่รู้ดีกันนานแล้วในวงการแต่เรื่องผลกระทบต่างๆเป็นแค่การคาดการ์ณลาวงหน้าเท่านั้น.....

แต่ที่แน่ๆเรามีภาพเหตุการ์ณนั้นมาให้ดูว่าจะเกิดเหตุการณ์ประมาณไหนในปี 2012 เขาทำมาเป็นหนังทุนสร้างสูงเรื่องยิ่งใหญ่เรื่อง 2012-สุดยอดมหาภัยพิบัติโลก


ที่มา : 2012 วันสิ้นโลก..เรื่องจริงอิงจากนักดาราศาสตร์
http://board.palungjit.com/f178/2012-วันสิ้นโลก-เรื่องจริงอิงจากนักดาราศาสตร์-194385.html












อิคคิวซัง แค่การ์ตูนหรือตำนานที่มีอยู่จริง ?









อิคคิวซัง แค่การ์ตูนหรือตำนานที่มีอยู่จริง ?
หากย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ในไทยมีการ์ตูนญี่ปุ่นที่เข้ามาฉายในไทยอยู่ไม่กี่เรื่อง ที่คนในสมัยนั้นรู้จักกันดี เช่น โดราเอม่อน อาราเร่ ผีน้อยคิวทาโร่ และอิคคิวซังซึ่งหลาย ๆ คนคงจะจำกันได้ดี แม้เด็กรุ่นใหม่ก็ยังรู้จัก "เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิว ซัง" ความน่ารักของตัวการ์ตูน และเนื้อหาที่สนุกสนาน ยังคงมาสร้างความบันเทิง ในบ้านเราไม่มีวันจบสิ้น อิคคิว ซัง จึงเป็นการ์ตูนอมตะอีกเรื่องหนึ่ง



แต่จะมีใครรู้บ้างว่าที่ญี่ปุ่น พระอิคคิว มีอยู่จริงรวมถึงหลักฐานต่าง ๆ ที่ยืนยันว่า "อิคคิว ซัง" ไม่ได้เป็นแค่การ์ตูน แต่กลับเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เลยทีเดียว


เมื่อ 600 ปีที่ผ่านมาเป็นยุค Muromachi (ประมาณพศ.1338-1573) ช่วงที่ญี่ปุ่น ยังยึดติดเรื่องศักดินา อิคคิวซัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเณรน้อย ผู้ฉลาดหลักแหลม หลังจากโชกุน Yoshimitsu Ashikaga ต้องการจะรวมประเทศญี่ปุ่น ในศตวรรษที่ 15 มีพระในนิกายเซน ถือกำเนิดขึ้น ที่ใคร ๆ รู้จักในนาม "Ikkyu San (! อิคคิว ซัง)" พ่อของเขาคือจักรพรรดิ Gokomatsu ซึ่งมีชายาสองฝ่าย คือ Nantyo (ชายาฝ่ายใต้) และ Hokutyo (ชายาฝ่ายเหนือ)


แม่ของอิคคิวคือ Nantyo ภรรยาลับ ๆ ของจักรพรรดิ Gokomatsu พระองค์เกรงอำนาจของชายาฝ่ายเหนือ Hokutyo แม่ของอิคคิว จึงต้องออกจากราชวัง ตั้งแต่ Ikkyu ยังไม่เกิด พระจักรพรรดิส่งเจ้าชายและชายาฝ่ายใต้ (แม่ของอิคคิว) มาจากพระราชวังโชกุน Ahikaga จึงเปลี่ยนชื่อให้เจ้าชายน้อยว่า Ikkyo พระนางนันอีโย พาอิคคิวมาบวชเรียนที่วัดอังโกะกุจิตอนอายุได้ 6 ขวบ เพื่อหนีภัยการเมือง และหลายครั้งเธอไม่ยอมพบกับอิคคิว เพราะต้องการให้อิคคิวเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ติดแม่


อิคคิวตั้งอกตั้งใจศึกษาพระธรรม ความเจ้าปัญญาฉายแววขึ้นตามอายุในวัยประมาณ 10 ขวบ อิ๊กคิวซังแต่งกลอนวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติที่ไม่เหมะสมของพระภิกษุนิกายหนึ่งที่กอบโกยทรัพย์สินยศฐาบรรดาศักดิ์บนความทุกข์ยากของชาวบ้าน


พออายุ 13 ปี มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพใหญ่ชื่อ "อาซิคะงะโยชิมิสึ" หรือ "ท่านโชกุน" ในการ์ตูน
อายุได้ 17 ปี อิ๊กคิวซังได้ออกจากวัดอังโกะกุจิฝ! ากตัวเป็นศิษย์ของ "หลวงพ่อเคนโอ" ที่วัดไซกอนจิ ได้ฉายาว่า "โชจุ น" ที่วัดแห่งนี้หลวงพ่อเคนโอเน้นการปฏิบัติโดยต้องทำงานอย่างหนัก และต้องอยู่กับสิ่งสกปรกเสียเป็นส่วนใหญ่


ต่อมาหลวงพ่อมรณภาพอิ๊กคิวซังจึงเดินทางไปวัด "อิชิยามา" อดอาหาร 7 วัน 7 คืน สวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้อาจารย์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ด้วยความเสียใจนี้เอง จึงคิดฆ่าตัวตาย ระหว่างที่เดินลงไปแม่น้ำเซตะ อิ๊กคิวซังจึงอธิษฐานจิตว่า "ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซึ่งคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศสังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ" ระหว่างที่ดิ่งลงในท้องน้ำ อิ๊กคิวซังก็นึกถึงหน้าท่านแม่และคำสอนขึ้นมาทันใด "เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ย่อท้อ" อิ๊กคิวซังจึงตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่งวัดอังโกะกุจิ





หลังจากนั้นท่านอายุได้ 23 ปี ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ "คะโซ" แห่งวัดโคอัน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ แต่พอใจที่จะใช้ชีวิตอย่างสมถะและพอใจในวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและหนักหน่วงอิ๊กคิวซังต้องทำงานทั้งวัน และปฏิบัติอย่างหนัก! หน่วง นอกจากใช้แรงงานในวัดแล้ว อิ๊กคิวซังยังต้องสานรองเท้า เย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาผู้หญิง และออกไปขายแรงงานในหมู่บ้านละแวกนั้นซ้ำยังโดนพระรุ่นพี่ที่ไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้ง ทำร้าย เตะต่อยอยู่เสมอ แต่อิ๊กคิวซังก็อดทนในที่สุดความพยายามที่จะค้นหาสัจธรรมก็สำเร็จ
เมื่ออิ๊กคิวซังสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซตั้งไว้ได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น และที่นี่เองที่ "พระโชจุน"ได้รับฉายาใหม่ว่า "อิ๊กคิว โซจุน" หมายความว่า "รู้พ้นจากโลกสมมติตามบัญญัติของลัทธิเซน" อิ๊กคิวซังน่าจะเป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรม เมื่ออายุยังน้อยที่สุดรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะว่าท่านสามารถบรรลุธรรมในขณะที่นั่งสมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ "เหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากจิตที่เต็มไปด้วยอัตตา" คือแก่นธรรมที่ท่านค้นพบ

เมื่อทราบว่าอิ๊กคิวซังสามารถบรรลุแก่นธรรม หลวงพ่อคะโซมีความประสงค์ที่จะมอบใบสำเร็จเปรียญธรรม และตำแหน่งเจ้าอาวาสให้อิ๊กคิวซังสืบทอด แต่อิ๊กคิวซังปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งส! มมติ" ท่านจึงออกธุดงค์


กระทั่งอายุ 34 ปี อิ๊กคิวซังมีโอกาสเข้าเฝ้าท่านพ่อ ซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิ ชีวิตช่วงนี้เองที่เป็นที่กล่าวขวัญถึง และขยาดหวาดกลัวและเกลียดชังจากภิกษุด้วยกัน อิ๊กคิวซังเคยไปร่วมงานครบรอบวันมณภาพของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งด้วยสภาพมอมแมมสกปรกจีวรหลุดลุ่ย พร้อมทั้งด่าทอพระที่มือถือสากปากถือศีล เพราะในสมัยนั้นมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากที่ทำตัวเคร่งพระวินัย ถึงขนาดบอกว่าผู้หญิงเป็นมารศาสนา แต่ว่ากลับลักลอบให้แม่เล้า-แมงดานำโสเภณีมาบำเรอถึงในกุฏิวัดคิมิโอชิ

นอกจากนี้อิ๊กคิวซังยังต่อต้านพระผู้มีอิทธิพลมีหลายรูปที่หลอกชาวบ้านว่าจะสามารถบรรลุธรรมได้หากบริจาคปัจจัยให้พระมากๆ อิ๊กคิวซังปฏิเสธสังคมพระในขณะนั้นอย่างรุนแรงและทำทุกอย่างที่ถือว่าเป็นอาบัติ เช่น ดื่มสุรา เล! ่นการพนัน ฉันเนื้อสัตว์ ไม่โกนผมและหนวดเครา เดินเข้าออกซ่องโสเภณีอย่างเปิดเผยเป็นว่าเล่น


การกระทำแบบนี้อิ๊กคิวซังต้องการต่อต้านและเสียดสีรวมทั้งสั่งสอนพระจอมปลอมในยุคนั้นให้ละอาย กับการลวงโลก อิ๊กคิวซังคบหาและปฏิบัติกับโสเภณีอย่างเปิดเผยสุภาพและให้เกียรติ ทั้งยังเคยแบ่งส้มจากบาตรให้เคยปีนเขาเสี่ยงตายไปหาสมุนไพรมารักษาโสเภณีที่ป่วยหนักแม้ว่าต่อมาจะเสียชีวิตก็ตาม
เมื่อท่านอายุได้ 75 พรรษา ระหว่างที่ธุดงค์เร่ร่อนหลบภัยสงครามภายในประเทศมาอยู่ที่เมืองซึมิโยชิ ท่านได้พบกับ "โมริ" ศิลปินขอทานตาบอด ซึ่งภายหลังท่านได้รับนางเป็นภรรยาทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันคืนเดียว โมริก็หนีไปเพราะเกิดความอับอายและเกรงว่าตนเองจะทำให้อิ๊กคิวซังเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่นางก็กลับมาหาอิ๊กคิวอีกหน เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตลำพังได้ในสภาวะสงครามได้




เมื่ออายุได้ 85 พระจักรพรรดิแต่งตั้งให้อิ๊กคิวซังเป็น เจ้าอาวาสวัดไดโตะกุจิซึ่งเป็นวัดหลวงที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อิกคิวซังจึงยอมรับตำแหน่งแต่เพียงแค่วันเดียวก็ลาออกกลับมาอยู่วัด ; เมียวโชจิ ที่ท่านสร้างจวบจนวาระสุดท้าย หลังจากกลับมาอยู่วัดนี้ ได้เพียง 2 ปีท่านเป็นมาเลเรีย ท่านละสังขารในท่านั่งสมาธิในอ้อมกอดของโมริ ภรรยาสุดที่รัก ในเวลา 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1481 หรือ พ.ศ.2024 เมื่ออายุได้ 88 ปี


10 เรื่องเกี่ยวกับอิ๊คคิวที่คุณอาจไม่เคยรู้


1. พระอิ๊คคิวเคยหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างเย็บตุ๊กตาเด็กผู้หญิงและเย็บรองเท้าฟาง
2. "ฮารุยาชะ" เด็กสาวในคณะละครเร่คือรักแรกที่ไม่สมหวังของพระอิคคิวในวัยแตกเนื้อหนุ่ม ทั้ง สองเจอกันครั้งแรกตอนที่อิคคิวถูกซ้อมแล้วฮารุยะชะเข้าไปช่วย
3. สมัยเป็นเณร เคยได้รับรางวัลความฉลาดเป็นดาบจากโชกุนโยชิมิทสุ
4. พระอิคคิวเป็นเจ้าของสูตรการทำนัตโตหรือถั่วหมักอิคคิวที่มีชื่อเสียง เป็นของฝากของโตเกียว
5. พระอิคคิวสวมจีวรสีดำที่พระมารดาเย็บถวายอยู่ชุดเดียวตั้งแต่อายุ 33 ปี จนกระทั่งมรณภาพ
6. คนปะรุ เซ็งระกุ ผู้ปฏิวัติละครโนะ มุระตะ ชูโค ผู้ให้กำเนิดพิธีชงชา ล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของพระ อิคคิว
7. พระอิคคิวปลูกหนวดตัวเองไว้ที่รูปปั้นไม้จำลองที่ให้ลูกศิษย์แกะสลักขึ้น
8. ครั้งหนึ่งพระอิคคิวเคยอาพาธด้วยโรคท้องร่วงอย่างรุนแรงจนเกือบมรณภาพ
9. ในปีหนึ่งที่อากาศหนาวมาก พระอิคคิวเอาพระพุทธรูปไม่เล็กๆ มาจุดไฟเผาให้ความอบอุ่น
10. พระอิคคิวเคยถูกชาวบ้านไล่ตี เพราะไปยืนปัสสาวะรดพระพุทธรูปริมทาง



เรื่องจริง ชินเนม่อนรู้จักกับอิคคิวตอนอายุ 30 ปี จากการถามตอบ ปุจฉา-วิสัจฉนา ชินเนม่อนเป็นทหารรับใช้ท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิโนริ (โชกุนลำดับที่ 6 ในรัฐบาลมุโรมะจิ) ทำหน้าที่ดูแลการเงินของรัฐบาล มีพรสวรรค์ในการแต่งโครงกลอนเป็นเลิศ ออกติดตามเป็นลูกศิษย์อิคคิวในช่วงบั้นปลายชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.tamdee.net/db/forum_posts.asp?TID=2041

5 วีดิโอจากYoutube ซึ่งคุณไม่เคยรู้มาก่อน

ในYoutube ยังมีเรื่องราวต่างๆ ที่คุณยังไม่เคยรู้มาก่อน เป็นเรื่องที่น้อยครั้งจะเจอในหนังสือ น้อยครั้งที่อยู่ในหนังสือเรียน ขึ้นอยู่กับความสนใจของเราและโชค เท่านั้นและ

อันดับ 5 Driving in the Sandstorm



ดูคลิปได้ที่http://www.youtube.com/watch?v...0W_QFG27gs&feature=related
ภาพ นี้ไม่ใช่ภูเขานะ แต่เป็นพายุทรายของจริงเลยล่ะครับ และขณะนี้ก็ยังเกิดอยู่ พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็แย่ล่ะสิ เมืองอาจถูกปกคลุมด้วยความมืดจากทราย แต่ว่า ก็มีคนบางคนที่อยากลองขับรถเข้าไปในพายุทรายดูว่าเป็นยังไง สำหรับคนที่อยากรู้ก็คลิกเข้าเลยครับ


อันดับ 4 The Greenest Museum on Earth



ดูคลิปได้ที่http://www.youtube.com/watch?v...aMqqmxRLtU&feature=channel
สถาบัน วิจัยทางวิทยาศาสตร์ของแคลิฟอร์เนีย(ไม่ว้าว)ที่ได้ชื่อว่าเขียวที่สุดในโลก นั่นเพราะว่าทุกๆอย่างของเค้าจะตกแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติหมดเลยครับ แต่ก็ยังทำใก้ดูเหมือนพิพิธภัณฑ์นะ ไม่ใช่ป่า ผมแปลในคลิปไม่ออกว่าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ด้วยรึเปล่านะครับ แต่ก็มีบางจุดที่ทำเป็นเรื่องดาราศาสตร์ ณ ส่วนนั้นก็เลยเป็นแนววิทยาศาสตร์จริงไป แต่ส่วนอื่นก็อย่างในรูปนะครับ




อันดับ 3 เทปลับ NASA เรื่องของ UFO?



ดูคลิปได้ที่http://www.youtube.com/watch?v...pc&feature=haxa_popt1cus01
เรา เคยเห็นรูปUFOมาเยอะละ(ถ้าไม่รวมชัตเตอร์กดติดวิญญาณ บรื๋อ) หลายคนก็สงสัยว่า แล้วถ้าUFOบินว่อนอยู่บนโลกนี่ NASAจะเห็นอะไรเทือกนี้ด้วยรึเปล่า คำตอบคือ มีคลิปเรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับ โดยคลิปทำการรวบรวมคลิปต่างๆเกี่ยวกับUFO ส่วนใครเชื่อไม่เชื่อก็ใช้วิจารณญาณนะครับ


อันดับ 2 Dolphin the ring



ดูคลิปได้ที่http://www.youtube.com/watch?v...6Y&feature=haxa_popt0fus03
เรา รู้จักโลมากันดี แ่ต่รู้หรือไม่ว่ามันมีพฤติกรรมแปลกๆอย่างนึงคือ มันสามารถใช้ท่อบนหัวมันเป่าน้ำเป้นฟองอากาศให้กลายเป็นรูปวงแหวนได้ และดูเหมือนมันจะชอบซะด้วย ความน่าประหลาดคือ มันสามารถดึงฟองวงแหวนนั้นออกมากลายเป็นวงเล็กและใช้ปากเลี้ยงวงไว้ได้ด้วย น้อยคนที่จะรู้ว่ามันทำอย่างนี้ได้
film_ring.jpg image by kanapo
ไม่ใช่อันนี้!!!!!


อันดับ 1 Cornstarch + water + speaker = Monster!!!!



ดูคลิปได้ที่http://www.youtube.com/watch?v=6U8jSglkXgg
มัน ก็คือแป้งข้าวโพดน่ะแหละครับ วิธีทดลองก็ง่ายๆ โดยเอาแป้งข้าวโพดมาผสมน้ำให้หนืดๆข้นๆ จากนั้นเทลงไปในลำโพง อาจเป็นลำโพงใหญ่ๆอย่างในคลิปก็ได้ ลำโพงเสียบเข้ากับตัวเล่นเพลงด้วยนะครับ ทีนี้ก็ลองเปิดเพลงดู จะเป็นยังไงนั้น ลองไปชมในคลิปดูก่อนก็ได้ครับ

ที่มา : Dek-d.com








พลิกโฉมวิธีการสื่อสารด้วย Google Wave

พลิกโฉมวิธีการสื่อสารด้วย Google Wave

เป็นการเปิดตัวครั้งใหญ่ในงาน Google I/O เมื่อวันก่อน ขนาดว่ากลบข่าว Bing ของไมโครซอฟท์สนิท
ผมพยายามหาวิธีอธิบาย Google Wave ซึ่งพบว่ายากมาก Googleเรียกมันว่า "a new tool for communication and collaboration on the web" และสำนักข่าวหลายแห่งเรียกมันว่า "Google Wave คือสิ่งที่อีเมลควรจะเป็น ถ้าหากมันถูกคิดขึ้นใหม่ในตอนนี้" หลังจากดูวิดีโอของ Google Wave จนจบ ผมเรียกมันว่า "Facebook แบบเรียลไทม์"
วิธีที่ดีที่สุดคือดูวิดีโอเปิดตัว Google Wave ความยาว 1 ชม. 20 นาทีครับ (ดูสัก 30 นาทีแรกก็พอเห็นภาพแล้ว)

http://www.youtube.com/watch?v=v_UyVmITiYQ

สำหรับคนที่ไม่ต้องการดูวิดีโอ ก็ลองดูภาพประกอบเสียก่อนจะได้นึกภาพออกตรงกัน



อย่างที่เห็นว่า Wave จะมีหน้าตาคล้ายกับ Outlook และโปรแกรมอีเมลทั่วไปในท้องตลาด มันคือโปรแกรม-บริการสำหรับสื่อสารและทำงานร่วมกัน (collaboration) อาจจะนำไปเทียบกับพวก Lotus Notes หรือ IBM Workplace ก็พอได้

จุดต่างของ Google Wave มีดังนี้

* การสื่อสารทุกอย่างเป็นแบบเรียลไทม์ ถึงขนาดว่าเรามองเห็นว่าเพื่อนพิมพ์ตัวอักษรอะไรอยู่ในขณะนั้น (ควรดูวิดีโอประกอบ)
* การสื่อสารแบบเรียลไทม์ ทำให้ไม่ต้องแบ่งแยกระหว่างอีเมลกับ IM อีกต่อไป หัวข้อสนทนาประเด็นหนึ่งๆ จะถูกเรียกว่า "wave"
* wave เป็นสื่อแบบมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบ มันเป็น rich document ในระดับเดียวกับ Google Docs สามารถใส่ได้ทั้งภาพ เสียง วิดีโอ Maps ฯลฯ
* เนื่องจากเราสามารถแก้ไข wave แบบเรียลไทม์ได้พร้อมกับเพื่อนๆ มันจึงทำหน้าที่เป็น collaboration tool ได้ กรณีเทียบเคียงคือ Wiki ที่แก้ไขได้พร้อมกัน หรือ แบ่งตั้งชื่อภาพจำนวนมากในอัลบั้ม
* และเนื่องจากมันเป็น collaboration tool ที่สามารถแก้ไขพร้อมกันได้ มันจึงมีความสามารถด้าน revision control เช่นเดียวกับ SVN หรือ git (Googleทำให้มันดูหรูขึ้นโดยใส่ timeline แบบโปรแกรมมัลติมีเดียลงไป สามารถกด playback เวอร์ชันได้)
* ระบบเพื่อนของ Google Wave จะคล้ายๆ กับ social network คือ เพิ่มเพื่อนเป็นรายคนลงใน Wave ได้ แยกลำดับชั้นความลับได้
* เราสามารถนำ Wave ไปฝังลงในเว็บเพจปกติได้ การแก้ไข (หรือคอมเมนต์) ที่เกิดขึ้นจะแสดงให้เห็นทั้งสองฝั่ง ไม่ว่าจะดูผ่านหน้าเว็บที่ฝัง Wave เอาไว้ หรือดูจากหน้า Wave เอง (เช่น คอมเมนต์ที่เว็บ จะไปโผล่ที่ Wave ทันที)



Wave คืออะไร

* Wave คือเว็บ ทั้งหมดที่เห็นเป็น HTML ทำงานผ่านเบราว์เซอร์
* แต่นั่นเป็น HTML5 ที่เรียกใช้ฟีเจอร์หลายอย่างที่ยังไม่มีในสเปกมาตรฐานกลาง (เบราว์เซอร์ทุกตัวสนับสนุนแล้วยกเว้น IE)
* การสื่อสารแบบเรียลไทม์ของมันต้องใช้โปรโทคอลพิเศษที่Googleคิดขึ้นมาใหม่ เรียกว่า Google Wave Federation Protocol
* Google Wave สร้างด้วย Google Web Toolkit (GWT) ทั้งหมด
* ซอร์สโค้ดของ Wave นั้นโอเพนซอร์ส

นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นอื่นๆ ที่ทำให้ Wave น่าสนใจ

* ระบบสะกดคำตามบริบท (เช่น พิมพ์ว่า Icland is an icland มันจะแก้เป็น Iceland is an island ให้อัตโนมัติ) วิธีการทำงานของมันจะทำผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่มีคลังข้อมูลการเขียนสำหรับ วิเคราะห์บริบทให้เรา)
* การสื่อสารใน Wave ไม่จำกัดเฉพาะเอกสารหรือข้อความเท่านั้น เราสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกับเพื่อนใน Wave ได้ เช่น Google Gadget หรือ เล่นเกม โดยเขียนส่วนขยายเพิ่มเข้าไปผ่าน Google Wave API
* เพื่อนๆ ใน Wave ของเราเป็นได้ทั้งมนุษย์จริงๆ และบ็อต ตัวอย่างของบ็อตก็คือ บ็อตตรวจการสะกดคำนั่นเอง

ที่มาที่ไปของ Wave

* Wave เดิมมีโค้ดเนมว่า Walkabout พัฒนาขึ้นในGoogleออสเตรเลีย
* ทีมพัฒนาคือทีมที่เคยทำ Google Maps เดิม ซึ่งเป็นบริษัท Where 2 Tech ที่Googleเคยซื้อมาเมื่อนานมาแล้ว
* ทีมพัฒนามี 5 คน ซุ่มทำกันมาเงียบๆ กว่า 4 ปีแล้ว
* อ่านตำนานการสร้าง Wave ได้จาก Official Google Blog

เว็บข่าวจำนวนมากพูดถึง Google Wave ผมคัดมาบางส่วน

*Google Wave: A Complete Guide จาก Mashable ทำละเอียดมากและภาพประกอบครบครัน
*Could Google Wave Redefine Email and Web Communication? - จาก Mashable
*Google Wave Drips With Ambition. A New Communication Platform For A New Web - TechCrunch

ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่ได้ดูวิดีโอ แนะนำให้คิดใหม่อีกรอบ

ที่มา - Blognone , arthuran

SS รูปภาพงานเปิดตัวครับ http://www.filethai.com/download.php?file=12436825018071.jpg

More Info:
http://wave.google.com
http://code.google.com/apis/wave
http://www.waveprotocol.org

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,63403.msg774752/topicseen.html#new

วิธีแย่งแฟนอย่างแนบเนียน ( ร้ายมากๆค่ะ )

วิธีแย่งแฟนอย่างแนบเนียน

1. เข้าไปสนิทสนม ในฐานะ น้องสาว .. เขาจะได้ปฏิเสธไม่ออกไงหละ
ก็ไม่ได้มาชอบซักหน่อย แค่
ขอเป็นน้องสาว อย่าเล่นตัวสิคะ ..คุณว่าที่(อดีต)พี่สะใภ้ อย่า หึงหนู
เลยน๊า.. หนูอยากมีพี่ชายกับเค้า
ซักคนนึงง่ะ


2. หมั่นเอาใจใส่ “พี่ชาย” อย่างสม่ำเสมอ
อย่าลืมทำท่าอาโนเนะน่ารักน่าเอ็นดู มีมุข สาว เปิ่น เอ๋อ
แต่น่ารักออกมาให้เขาชื่นชมความใสซื่อของเราเป็นระยะๆ

3. หลังจากที่เริ่มสนิทสนมกัน ก็ ค่อยๆ หา ปัญหาหนักอก หนักใจมาปรึกษากับ
“พี่ชาย” เช่น พี่ชายขา
ทำไงดีคะ หนูไม่รู้จะบอกกับสมศักดิ์เขายังไงว่าหนูไม่ชอบเขา .. ทำให้ “พี่
ชาย” รู้สึกว่า เด็กน้อยใส
ซื่ออย่างเรา ช่างน่าปกป้อง ทะนุถนอม

4. เมื่อสนิทกันมากขึ้น ก็ แอบถาม
ล้วงความลับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟน ทีละ เล็ก ทีละ
น้อย... อย่างชื่นชม.. “พี่ชาย” รักว่าที่(อดีต)พี่สะใภ้ดีจังค่ะ
สมกันจังนะคะ ขั้นตอนนี้ โปรดทำ หน้า
ชื่นชมให้ แนบเนียน

5. สนิทกันไป เดี๋ยวไอ้เจ้า “พี่ชาย” ก็จะมีเรื่อง ลิ้นกับฟัน ทะเลาะกะแฟน
เอามาเล่าให้ฟังมั่ง
แหละ... ทีนี้หละ ต้องค่อยๆสอดแทรก ทะลวงจุดอ่อนให้ได้ แบบ
“พี่เค้าคงรักพี่ชายมากน่ะค่ะ เลยทำ
อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นหนูนะ หนูจะ...(ทำเป็นคนฉลาด มี ไหวพริบ และมีสติ
น้ำใจงามสรรพ์สุดฤทธิ์)...”
แหม...เหตุที่ไม่ได้เกิดกับเรา จะสร้างภาพให้ดียังไงก็ได้ จริงไหม
ส่วนเจ้า”พี่ชาย” ก็จะเริ่มจะกลัว
การผูกมัดและรู้สึกหวั่น! ไหวว่า เอ๊ ที่จริง แฟนกรูดีจริง ป่าววะ ทำไม
คนอื่นไม่คิดดีๆ แบบที่นัง”น้อง
สาว” ตัวแสบ คิดบ้าง

6. พอเขาเริ่มระแวงกัน ก็ได้เวลาวางแผนพิชิตศึก เริ่มจากดึงเวลาของ”พี่ชาย”ที่
เคย ให้นังก้าง
ขวางคอ มาเป็นของเรา บ่อยๆ โทรไปหาเขาในเวลาที่รู้ว่าเขาต้องอยู่กับแฟน
เพื่อเป็นชวนให้เกิดการ
หึงหวงทะเลาะวิวาท ให้ ว่าที่ อดีตพี่สะใภ้ สะดุดใจว่า
ทำไมแฟนชั้นต้องให้ความสำคัญกับนัง “น้อง
สาว” มากขนาดนี้ด้วยฟะ

7. อย่าลืมเอาใจใส่เขา และ
สร้างภาพ นางฟ้าตัวน้อยที่อ่อนหวานน่าทะนุถนอมให้สม่ำเสมอ

8. คนเก่า ออกท่าทางเป็นนางยักษ์ คอยหึงหวง คอยเรียกร้อง
ทะเลาะกันอยู่เรื่อย กับ อีก คนนึงที่
เข้าอกเข้าใจ แสนดี เอาใจใส่...ชักจะเอนเอียงแล้วใช่ม๊า...

9. รอเวลาพักนึง จนเมื่อความสัมพันธ์ทางโน้น พร้อมที่จะระเบิดได้ทันที
ก็ใช้ไม้ตาย.. ร้อง ขอความ
ช่วยเหลือด้วยเรื่องคอขาดบาดตาย
ในเวลาที่เขากำลังจะไปหาแฟนด้วยวาระโอกาสสำคัญ เช่น วันเกิด
วาเลนไทน์..

10. ถ้าเขามาละก้อ... เปอร์เซนต์สูงมากแล้วค่ะ

11. เดี๋ยวมันต้องกลับไปทะเลาะกันแหงๆ

12. เลิกแล้วค่ะ พี่ชายหนูเลิกกับเขาแล้วค่ะ

13. รักษาแผลใจ โอ๋ๆ อย่าเสียใจไปเลย มีเราอยู่เคียงข้างคอยปลอบใจนะคะคนดี
ทีนี้ละ จะไปไหน
เสีย จริงไหมจ๊ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.sobsuan.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=9335

เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "

เคล็ดลับวิธีรักษาอาการ " หน้าแตก "

เดินตกท่อ ,ทำงานพลาด, ซิปแตกกลางตลาด ,จีบสาวไม่ติด , ทักผิดคน ฯลฯ ที่ทำให้ใบหน้าอันแสนจะสง่างามของท่านต้อง มีอาการแตกเป็นเสี่ยงๆ จนยากที่จะประสานกันติด ถ้าท่านต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านจะมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้อาการขวยเขินเหล่านี้บรรเทาเบาบางไปโดยเร็วที่สุด
ถ้ายังคิดไม่ออกสำนักข่าวชาวพุทธ ขอเสนอเทคนิคคิด ๓ วิธีที่ สามารถช่วยรักษาอาการหน้าแตกของคุณให้ค่อย ๆ ทุเลาลงไป จนหายสนิท ดังต่อไปนี้


๑.ให้คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่หน้าแตกมากไปกว่านี้
การคิดว่าตัวเองโชคดีเสมอ เป็นวิธีคิดมองโลกในแง่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้หลาย ๆ กรณี ในกรณีหน้าแตกนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้เราคิดว่า นี่ตัวเองยังโชคดีที่นะไม่เจอเหตุการณ์ที่ทำให้หน้าแตกมากไปกว่านี้ วิธีคิดในรูปแบบนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการหน้าแตกได้ผลดีวิธีหนึ่ง

ยกตัวอย่าง

ลืมรูดซิบ เราก็อาจจะคิดว่า "ฮ้า..โชคดียังดีนะ ที่วันนี้เรานุ่งกางเกงในตัวใหม่มา ไม่อย่างนั้นคงต้องอายยิ่งกว่านี้เป็นแน่"
ผายลมเสียงดัง จนคนหันมามอง เราก็อาจจะคิดว่า " โห..นี่ยังดีนะที่มีแค่เสียง นี่ถ้ามีกลิ่นออกมาด้วย เราคงอายมุดดินแน่ "
กระโดดขึ้นรถเมล์พลาด ตะครุบกบกลางถนน เราอาจจะคิดว่า "อูยย.(เจ็บ) .. ยังดีนะที่แค่หน้าแตก โชคดีที่รถข้างหลังมันไม่เหยียบเอา นี่ก็ถือว่าบุญแล้ว"

๒.มองโลกนี้ด้วยอารมณ์ขัน
ขำตัวเอง ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูตัวเอง นึกให้มันขำ ๆ ว่าการที่เราได้ปล่อยไก่ หรือปล่อยห้าแต้มให้คนเขาดูออกไป ในครั้งนี้ ถือว่ามันก็เป็นการสังเคราะห์เพื่อนมนุษย์ได้เหมือนกัน คือได้ช่วยให้เขามีสุขภาพจิตดี ได้หัวเราะสนุกสนานกันไป เราคงจะได้บุญไม่น้อย อ้อ.! บางทีเราอาจจะนำเรื่อง "หน้าแตก" เหล่านี้นำไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังให้คลายเครียดในภายหลัง ได้อีกต่างหาก คิดแล้วสบายใจ เพราะได้ช่วยให้ผู้อื่นอารมณ์ดีครับ

๓.ให้ถือว่า "อาการหน้าแตก" นี้คือสิ่งที่มาเตือนสติให้เรารู้ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่ทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้า
คนในสังคมไทยส่วนใหญ่นั้นอาจจะยังเป็นคนที่ชอบทำอะไรต่ออะไรเพื่อเห็นแก่หน้าตา ทีนี้เวลาเราเกิดไปทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมา มันก็เลยเกิดอาการ "หน้าแตก" โดยอัตโนมัติ
อันที่จริงคนที่ทำงานเพื่องานจริง ๆ เขาจะถือว่าความล้มเหลวนั้นไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้าแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนกว่าจะทดลองค้นคว้าอะไรประสบความสำเร็จออกมาได้ บางทีเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับพัน ๆ ครั้ง (เช่นโทมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า) ลองนึกจินตนาการดูว่า หากนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นคนที่ทำงานเพื่อมุ่งเอาหน้าเอาตา พวกเขาคงจะต้องมีอาการหน้าแตกแล้วแตกเล่า จนเป็นโรคประสาทไปก่อนที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
คนที่มีความคิดมุ่งทำงานเพื่อบรรลุให้ถึงผลสำเร็จของการงานที่ตั้งเป้าไว้ (จิตใฝ่สัมฤทธิ์) โดยไม่สนใจเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียง ใจของเขาจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีเรื่องของความอยากได้หน้าได้ตาอะไรมารบกวนจิตใจตอนทำงาน ดังนั้นหากเมื่อใดการงานที่เขาทำอยู่เกิดต้องพบกับปัญหาผิดพลาดพลั้งหรือล้มเหลวอะไรขึ้นมา คนเหล่านี้จึงไม่มีอาการหน้าแตกแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะจิตใจของเขาได้สร้างพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาจึงไม่เสียกำลังใจ ไม่หน้าแตก ในยามที่พบกับความล้มเหลว สมรรถภาพทางปัญญาของเขาจึงพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงการงานอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำอย่างไรจึงจะนำข้อผิดพลาดทั้งหลายมาเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น
สรุปอีกครั้งว่าถ้าเกิดอาการหน้าแตกเมื่อไหร่ให้บอกกับตนเองได้เลยว่า พื้นฐานความคิดของเราคงต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สมควรที่จะต้องรีบปรับวิธีการคิดมองโลกให้ถูกต้อง คือไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ทำเพราะเห็นแก่หน้าตา หรือ อวดโก้เก๋ แต่ให้ทำเพราะเห็นแก่ความถูกต้องดีงาม หรือ ด้วยความใฝ่รู้ใฝ่สัมฤทธิ์ นี่ถ้าสร้างแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตได้ อย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว อาการหน้าแตกเวลาเราทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลว (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ) มันก็จะค่อย ๆ ลด น้อยจนหมดลงไปเอง



หมายเหตุ *

ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่อง "มานะ"กิเลสตัวสำคัญที่คนไทยชอบนำมาใช้กระตุ้นปลุกเร้าให้คนทำงานเพื่อเห็นแก่หน้า อยากใหญ่ อยากโต แรงจูงใจ"มานะ"นี้เองที่ให้คนไทยมุ่งมั่นทำหน้าที่การงานหรือทำความดีเพื่อจะเอาชนะผู้อื่น หรือ เด่นกว่าผู้อื่น เป็นแรงจูงใจที่เป็นต้นเหตุทำให้คนไทยเวลาทำอะไรผิดพลาดหรือล้มเหลวก็จะเกิดอาการเสียหน้า หรือเรียกกันเป็นภาษาพูดว่า "หน้าแตก" นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://artsmen.net/content/show.php?Category=talkboard&No=2989

ประวัติเพลง canon (เพลงในตำนานครับ)

วันนี้ได้ลองกลับไปนั่งฟังเพลง canon ver. เก่าๆ ดู แล้วเกิดอยากเอาประวัติมาให้ชาวเสียวรู้จักอะครับ

หลายๆ คนคงจะคุ้นๆ หูอยู่นะครับ ก็เพลงที่เค้าเปิดในงานแต่งงานไงครับ ที่เร็วๆ นี้ก็เป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง My Sassy Girl หรือ ยัยตัวร้ายกะนายเจี๋ยมเจี้ยม ครับ

Credit : http://www.zheza.com/index.php...log&b=entry&uid=432816



สำหรับ Kanon นี้ เป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก ต้นฉบับนั้น Pachelbel ประพันธ์ Kanon มา สำหรับให้เล่นด้วยเครื่องดนตรี 4 ชิ้นเท่านั้น คือ Violin 3 ตัว และ Continuo (สันนิษฐานว่า คือ Bass ในปัจจุบัน)ไม่ใช่เพลงสำหรับ Piano เลยซักนิด

แต่ในปัจจุบันนักดนตรีชอบเอามาเล่นกับ Piano และที่สำคัญ เพลงนี้ ในต้นฉบับ ทำนองซับซ้อนเกินกว่าจะเล่นด้วยเปียโนเพียงคนเดียวได้ ภายหลังก็มีคนเอามาเรียบเรียงใหม่แลเอามาดัดแปลงใหม่ให้เล่นกับ Pianoได้

ใน version ต้นฉบับ จุดเด่นของเพลงที่ถือเป็น “สิ่งมหัศจรรย์” อย่างนึงเลยทีเดียว ก็คือท่วงทำนองของเพลง จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Canon เดิมให้เล่นด้วย Violin 3 ตัวและ Bass อีก 1 แนวเสียง Bass นั้นจะเล่นโน้ต 8 ตัว ซ้ำวนตลอดเพลง

แต่ทีเด็ดของแนวทำนองของไวโอลินทั้งสามตัว เชื่อหรือไม่ว่า ทั้งสามตัวนั้น เล่นทำนองเดียวกันตลอด !

เริ่มเพลง แนว Bass เล่นเครื่องเดียว 4 ห้องเพลง
ตามด้วย Violin 1 เล่นทำนองหลัก 4 ห้อง (เบส ยังเล่นทำนองเดิม)
หลังจากนั้น Violin 1 จะเล่นทำนองที่สอง และ Violin 2 จะนำทำนองที่ Violin 1 เพิ่งเล่นผ่านไปเมื่อ 4 ห้องที่แล้ว มาเล่นซ้ำ โน้ตเดิมทุกประการ
และเมื่อ Violin 1 เล่นทำนองที่สาม Violin 2 ก็จะเล่นทำนองที่สอง (ที่ Violin 1 เพิ่งเล่นผ่านไป) และ Violin 3 ก็เล่นนำทำนองแรก (ที่ Violin 1 เล่นผ่านไปแล้ว 8 ห้องเพลง) มาเล่น (ลอง Download version three violins ไปฟังพร้อมกับอ่านหัวข้อนี้ดูนะครับจะเป็นแบบนี้จริง ๆเล่นทำนองเดิม)

เนี่ยแหละครับ ทำนองเดิมมันซับซ้อนมากเกินกว่าจะเล่นด้วยเปียโนได้ (หมายถึงต้นฉบับเดิมเลยนะครับ)

คำว่า Canon ในทางดนตรี หมายถึงการเล่นวนซ้ำ เพลงนี้ ก็คือการนำทำนองของ Violin 1 มาเล่นซ้ำด้วย Violin 2 และ 3 นั่นเองครับ ลองฟังดูดี ๆ จะพบว่า ทำนองมันซ้ำกัน แต่เล่นด้วยเครื่องดนตรีคนละเครื่อง

ในอดีต เคยใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Ordinary People มาก่อน และเร็ว ๆ นี้ก็มาประกอบ My Sassy Girl



เพลงนี้ ของจริงต้อง Key D Major ครับ เพราะฉะนั้น เรามักจะได้ยินชื่อเพลงนี้เต็ม ๆ ว่า Kanon in D อยู่บ่อย ๆ ครับ

และตอนนี้ก็มีคนนำเพลงนี้มาแต่งเป็นแบบ Rock ครับ คนที่เล่นคือ Jerry C ครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นคนแต่งด้วยรึเปล่านะครับ เป็นกีตาร์ไฟฟ้าครับ เล่นเก่งมาก



ส่วนต่อไปนี้เป็น Credit ผมนะครับ Bluepotion ยิงฟันยิ้ม

นี่สำหรับ ver. Original นะครับ Pachebell - Canon in D

และนี่ ver. ยัยตัวร้ายครับ (Piano) เป็นคีย์ C major นะครับ Canon in C - My Sassy Girl

อันนี้แบบไม่มีหนังครับ เพลงล้วนๆ Canon in C - George Winston

เห็นว่า ver. ที่ประกอบภาพยนต์เรื่องยัยตัวร้าย นี่ประพันธ์โดย George Winston ครับ และนี่เป็น ver. เดียวที่ผมเล่นได้ครับ รูดซิบปาก

อันนี้ ver.Rock by Jerry C ครับ Canon Rock - Jerry C

จุดเด่นของเพลง Canon คือ จะเล่นคอร์ดวนอยู่ 8 คอร์ดดังนี้ครับ

in D : D A Bm F#m G D G A

in C : C G Am Em F C F G

ง่ายไหมครับ แต่ความไพเราะนี่จับใจเลยครับ ยิ้ม

อันนี้เป็นโน๊ตเวอร์ชั่นยัยตัวร้าย ที่ผมว่าเล่นง่ายที่สุดละครับ ใครเล่นเปียโนเป็นลองเอาไปเล่นดูนะครับ Canon

ก็ขอจบประวัติเพลงนี้ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ไว้จะมาอัพเดตใหม่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaiseoboard.com/index.php?PHPSESSID=61vtic0p1mj7f8unrm4mtptk77&topic=62787.msg767634;topicseen#new

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP