เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

ถึงคราว หมอกฤษฎ์ ปล่อยโฮ อยากขอโทษ ลีเดีย
















อยากขอโทษ ลีเดีย หมอกฤษฎ์ ยอมรับเป็นคนปากหมา

หลังถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรงในชีวิตลูกผู้หญิงเพราะ "หมอกฤษฎ์ คอนเฟิร์ม" หมอดูหนุ่มได้กล่าวคำทำนายทายทักผ่านสื่อว่า นักร้องสาว "ลีเดีย-ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา" เกิดอาการ "เบนโล" ทั้งที่ยังเป็นสาวโสดซิงๆ ร้อนถึงนางศันสนีย์ วนะไชยเกียรติ มารดาของนักร้องสาว ต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่แม่ปกป้องเกียรติยศลูกสาว ด้วยการบุกฉะหมอกฤษฎ์กลางงานที่ห้างพารากอน ดังที่เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วประเทศ และนักร้องสาวยังเดินหน้าเรื่องกฎหมาย โดยได้ให้ทนายความยื่นเรื่องฟ้องศาลเรียกร้องค่าเสียหายจากหมอดูหนุ่ม เป็นเงินถึง 50 ล้านบาทนั้น

ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อบ่ายวันที่ 17 ธันวาคม นักร้องสาวเจ้าแม่อาร์แอนด์บี "ลีเดีย-ศรัณย์รัชต์" ได้เดินทางมาเปิดใจอย่างหมดเปลือกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังมีกระแสข่าวว่าหมอกฤษฎ์จะฟ้องกลับ โดยลีเดีย กล่าวว่า คิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ใครไม่ดีกับเดียก่อน ก็ต้องสู้กลับอยู่แล้ว เพราะเขารังแกเดียมาก ถ้าเขาจะฟ้องเดีย ไม่รู้ว่าเขาจะฟ้องเดียข้อหาอะไร ที่ว่าหมอกฤษฎ์เตรียมไปแจ้งความว่า มีคนเสียงคล้ายแมทธิวโทรศัพท์มาขู่ฆ่าแฟนเขา ไร้สาระมาก เบอร์โทรศัพท์หมอกฤษฎ์ยังไม่เคยคิดจะมี เพราะไม่อยากฟังเสียงเขาอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องโทรศัพท์ไปขู่คงไม่ใช่เราแน่ ครอบครัวเดียจะขู่หรือทำอะไร เขาคงไม่ออกหน้าให้สื่อเห็นขนาดนั้น เขาก็อ้างได้หมด เหมือนกับที่เขาคอนเฟิร์ม ก็คอนเฟิร์มได้หมด ในเมื่อเราไม่ได้ทำ คุณก็ไม่มีหลักฐาน จะฟ้องเราได้อย่างไร เราไม่มีอะไรที่จะให้เขาฟ้องได้เลย ถ้าฟ้องจริงๆ ค่อยว่ากัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่หรือไม่ว่าคดีจะจบอย่างไร ถ้าเขาจะกราบเท้าหรือขอโทษอย่างอื่น นักร้องสาวตอบว่า เดียก็ถามแม่ว่า ถ้าเขามาขอโทษและยอมรับว่าตัวเองผิดจะทำอย่างไร แม่บอกว่าพูดอะไรตอนนี้มันสายไปหรือเปล่า เพราะที่งานนั้นเขาก็ไม่ขอโทษ ถ้าขอโทษตอนนั้น แม่บอกว่าเขาก็ยังเป็นลูกผู้ชายที่ยอมรับว่าตัวเองผิด แต่ตอนนี้คงต้องดำเนินการต่อไป เพราะขนาดแม่ไปตรงนั้นแล้ว พอลงจากเวทีคุณก็ยังคอนเฟิร์มเหมือนเดิม วันนี้ยังบอกว่าจะแจ้งความและยังปล่อยข่าวว่าแมทธิวโทรศัพท์ไปขู่ มันเลยยังไม่จบ เขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด ทำนายตามเกณฑ์ แต่เราทนทุกข์มานานมากแล้ว แต่ถ้ามันไม่ถึงที่สุดจริงๆ คงไม่ออกมา เมื่อวานหมอลักษณ์โทรศัพท์มาบอกว่า ดูดวงให้เดียแล้ว เพราะเดียเคยเจอหมอลักษณ์บอกว่าคุณไม่ได้มีเกณฑ์ท้อง ดูตามเกณฑ์เดียเป็นคนมีลูกยากด้วยซ้ำ ดาวปุตตะที่เค้าพูดถึงไม่ได้หมายถึงว่าลูกอย่างเดียว เกี่ยวกับงาน เค้าบอกว่าเดียเป็นคนบ้างาน

ลีเดียยังกล่าวอีกว่า หมอกฤษฎ์บอกว่าไม่มีเงินให้ มีแต่ตัว เดียไม่เอาหรอก ตัวไปอยู่ในคุกดีกว่า เดียไม่รู้ว่าเขาจะมีเงินหรือไม่มี หรือจะรับผิดชอบอย่างไร แต่เมื่อเขาพูดมาแล้ว คำพูดเขาทำความเสียหายให้ครอบครัวเดียแล้วต้องรับผิดชอบ มีผู้ใหญ่บอกว่าจะไกล่เกลี่ย แต่เราคงไม่แล้ว ที่ผ่านมาเขามีโอกาสยอมรับว่าทายผิดไปแล้ว ขอโทษ แต่เขาไม่ออกมา แถมยังกล่าวหาซ้ำเติม ฝากไปถึงดาราคนอื่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนเรา ที่สำคัญเดียขอขอบคุณแม่ที่ออกมาปกป้อง อยากเป็นตัวแทนของคนที่ถูกกระทำทุกคนว่า มีคนออกมาปกป้องแล้ว คราวหน้าถ้าเขาจะทำแบบนี้ต้องระวังและมีจรรยาบรรณมากกว่านี้ในการทำหน้าที่

ลีเดียยังกล่าวเปิดใจด้วยว่า ส่วนมากแล้วเดียจะไม่ร้องไห้เสียน้ำตากับเรื่องที่เป็นขี้ปากคน จะไม่อ่อนไหวขนาดนั้น แต่ที่ผ่านมามันแย่จริงๆ เมื่อวันที่ไปออกรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ที่ร้องไห้เหมือนเราถูกจี้จุดพอดี ที่ผ่านมาอดทนมานานจนมันไม่ไหวแล้ว ตอนนี้หวังว่าคนจะเข้าใจเรามากขึ้น รู้สึกว่าเราถูกดึงเข้ามาในเกมการเมือง คงเป็นเพราะกระแสการเมืองแรง แต่เดียรู้จักเคารพท่านทักษิณเท่านี้ เรื่องอื่นเดียไม่รู้ มั่นใจเพราะเรายืนอยู่บนความจริงเสมอ ไม่น่าจะมีใครทำอะไรเราได้ ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ คำคอนเฟิร์มของหมอกฤษฎ์น่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะบางทีนักข่าวถาม หมอกฤษฎ์ก็ตอบมาเลยโดยไม่ได้ดูจากอะไร ไม่รู้เค้าเอามาจากไหน วันเดือนปีเกิด เดียก็ไม่เคยเอาไปให้เค้าดู ไม่ต้องใช้หลักการอะไร ฟังข่าวเดียก็คอนเฟิร์มแล้ว

ทางด้านหมอกฤษฎ์ คอนเฟิร์ม คู่กรณีของลีเดียนั้น หลังจากมีกระแสข่าวว่า มีโทรศัพท์จากชายลึกลับขู่ฆ่านั้น มีรายงานข่าวว่า หมอกฤษฎ์ได้นำเรื่องไปปรึกษานางลีนา จังจรรจา หรือลีน่า จัง ให้มาเป็นทนายดูแลคดีเพื่อฟ้องกลับแมทธิว ดีน แฟนหนุ่มของลีเดีย โดยกล่าวหาว่าเสียงลึกลับนั้นน่าจะเป็นเสียงของแมทธิว ดีน และหมอกฤษฎ์ได้มีการนัดหมายลีน่า จัง ให้ไปเจอกันที่กองปราบปรามในเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ธันวาคม เพื่อเข้าแจ้งความ แต่เมื่อถึงเวลาปรากฏว่าหมอกฤษฎ์ไม่มาตามนัด ปล่อยให้ลีน่า จัง รอเก้อและยังไม่ยอมรับโทรศัพท์อีกด้วย

ขณะเดียวกัน ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ หมอกฤษฎ์ มีคิวต้องไปออกรายการสยามทูเดย์ ซึ่งเป็นรายการสด ออกอากาศทางช่อง 5 ผู้สื่อข่าวไปดักรอสัมภาษณ์ แต่หมอกฤษฎ์กลับยกเลิกปฏิเสธไม่มาออกรายการ ทำให้เจ้าของรายการ คือ "วัฒน์-ณวัฒน์ อิสรไกรศีล" แสดงความไม่พอใจหมอกฤษฎ์ เปลี่ยนเป็นมาให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการแทน โดยระบุว่าจะขอพูดถึงเรื่องข่าวลีเดียเป็นครั้งสุดท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้หมอกฤษฎ์ ได้ไปอัดรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" โดยพิธีกรรายการคือวู้ดดี้ มิลินทจินดา ซักถามถึงเหตุการณ์ประเด็นร้อนที่ตกเป็นข่าวครึกโครมว่าเกิดอะไรขึ้น หมอกฤษฎ์ ตอบว่า พิธีกรต้องเชิญตนไปพูดบนเวที ถามอะไรตนก็ตอบไปอย่างนั้น ตอนเข้าไปในงานมีนักข่าวกรูกันเข้ามาถามถึงเรื่องที่ทำนายลีเดีย แต่ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใครและมีทีมงานพาตนเข้าไปหลังเวทีเพราะยังไม่ถึงคิว ก็มีพิธีกร 2 คน มาเรียกตนขึ้นไปบนเวที แต่ตนไม่ได้ออกไปเพราะยังไม่ถึงเวลา และต้องหลบเพราะไม่อยากจะตอบคำถามเรื่องนี้ จนพิธีกรให้คนเดินมาคว้าตัวขึ้นไปบนเวที ก็เห็นแม่ลีเดียขึ้นมาก่อนแล้ว ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นแม่ลีเดีย พอดีพิธีกรถามว่าตนไปทายว่าลีเดียท้องกับใคร ตนบอกว่าไม่ได้ทาย คำทำนายของตนมีเพียงเท่านี้ไม่ได้ท้องกับใคร ไม่มีพ่อ ถ้าตนพูดอย่างนั้นเหมือนโคตรหมาเลย เมื่อหันมาเจอแม่ลีเดียก็ตกใจและเสียใจจริงๆ ไม่ได้กลัวแต่รู้สึกเสียใจ ตนอยากให้มันจบโดยการขอโทษแม่ลีเดีย ที่ตนทำไปเพราะสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์ ตอนนั้นแม่ลีเดียถามตนว่า ใครสั่งให้ทำนาย ได้ตอบว่ามีนักข่าวถามก็ต้องทายไป

หมอกฤษฎ์กล่าวอีกว่า รู้สึกเสียใจที่คำทำนายของตนไปทำร้ายลีเดียได้ขนาดนี้เชียวหรือ และมานั่งคิดดูว่าได้ทำนายอะไรไปบ้าง สุดท้ายตนก็รู้สึกว่าไม่ใช่งานของตน แต่ก็ตั้งใจว่าจะขอโทษแม่ลีเดียเพื่อให้งานมันจบ วู้ดดี้ถามอีกว่า ตอนที่แม่ลีเดียสั่งให้กราบเท้าขอโทษ ตอนนั้นคิดอย่างไร หมอกฤษฎ์ตอบว่าคิดว่าอยากกราบขออภัย รู้สึกว่าตัวเองผิดแล้วเขาบอกให้กราบเท้า ก็เลยฝากไมโครโฟนกับนักข่าวไว้และตั้งใจจะกราบ แต่ไม่ใช่กราบเท้า อยากแสดงความรับผิดชอบที่ทำให้ลีเดียเสียหาย แต่ก็มีคนมาแยกตัวไปก่อน

หมอดูหนุ่มยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่า มีคนโทรศัพท์มาขู่ฆ่าว่า ไม่ใช่ขู่ฆ่าแต่ขู่จะทำร้าย ทว่าคนที่รับโทรศัพท์ไม่ใช่ตนแต่เป็นแฟนสาวและมารดา มันเป็นเรื่องของมือที่ 3 ตนอยากให้ทุกอย่างลงที่ตนคนเดียว ส่วนเรื่องฟ้องร้องกำลังรอรับหมายศาลอยู่ ส่วนเรื่องเงิน 50 ล้านที่เรียกร้องมาตนไม่มีจ่าย แต่สิ่งที่ทำได้คือก้มหน้ารับกับมันไป รู้ตัวว่าตนทำให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ ถ้าเจอลีเดียก็อยากขอโทษทั้งที่ตนไม่ได้ตั้งใจทำนายไปอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกแย่มากและยิ่งแย่ที่เห็นลีเดียร้องไห้ มันเหมือนตนตกนรกทั้งเป็น ไม่มีใครรู้ว่าพอความดังเข้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาไม่ใช่สิ่งสวยงามและดีเสมอ ต้องทนรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะต้องมาเจอคำทำนายของตนส่งผลกระทบมากมายขนาดนี้ ตนนอนไม่หลับและไม่คิดสร้างภาพร้องไห้เพราะตนไม่ใช่นักแสดง อยากขอโทษครอบครัวลีเดียและตัวลีเดียรวมถึงแม่ลีเดีย ที่ต้องเดือดร้อนจนต้องออกมาปกป้องลูกแบบนี้ ได้ดูดวงตัวเองบ้างเหมือนกันแต่ไม่ได้ดูลึกขนาดนี้ เป็นกรรมจากคำพูดก็ต้องยอมรับมัน เพราะตนเป็นคนพูดอะไรไม่ไตร่ตรอง ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กตนเป็นคนปากหมา และจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูด อย่างไรก็แล้วแต่ ตนต้องกลับมาทำงานต่อ เพราะยังมีคนอีกหลายร้อยคนรอคิวดูดวงกับตนไว้ ตอนนี้ขอตั้งสติทำสมาธิก่อน แล้วจะกลับมาดูดวงต่อ


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ไทยรัฐ

จุดอ่อนของคนหางานทำ

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)

คนเราเมื่อถึงอายุที่หรือวัยที่ต้องทำงาน หรือ มีความจำเป็นต้องหางานทำแล้ว มักจะมีพฤติกรรมต่างๆตามลำดับขั้นของช่วงเวลาดังนี้

คาดหวังในงานที่จะทำ

คนเริ่มสมัครงานมักมีความคาดหวังในงานที่จะทำไว้ค่อนข้างสูง อยากจะทำนั่น อยากจะทำนี่ ซึ่งก็จะสมัครในงานที่ตนเองต้องการที่จะทำเป็นส่วนใหญ่ บางคนถึงกับสมัครงานในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เรียนมาแต่มีความชอบส่วนบุคคล ทั้งนี้ ความคาดหวังเป็นสิ่งที่ดีในมุมมองผมว่า ได้ผลักดันให้คนหางานได้มีความคิดทะเยอทะยานเพื่อที่จะทำงานในหน้าที่การงานเหล่านั้น และ หากเขาได้ทำงานเขาก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ในทางกลับกันคนที่ไม่มีความคาดหวังกลับสมัครงานอย่างไร้ทิศทาง ทำอะไรก็ได้ ขอแค่มีงานทำ ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่เมื่อได้เข้าไปทำงานแล้วก็จะเพิ่งรู้ว่าตนเองไม่เหมาะกับงานที่ทำ ความหวังความฝันไม่ได้ขึ้นกับเหตุและผล เหมือนๆกับคนที่ขอทำงานอะไรก็ได้ บางคนก็ได้งานที่ไม่เหมาะกับนิสัยตนเอง นี่เอง จึงเป็นที่มาของการสัมภาษณ์งานเพื่อให้ได้คนที่ผู้สัมภาษณ์คิดว่าน่าจะตรงกับงานที่จะให้ทำมากที่สุด

หลักการพื้นๆที่จะมองว่าเราน่าจะทำงานประเภทใด คือ การศึกษาตนเองและรู้ตนเองมากที่สุด เช่น

ตนเองนั้นมีลักษณะพื้นฐานอย่างไร โดยการศึกษาตนเอง เช่น
เป็นคนที่ชอบนอนแต่เช้าตื่นแต่เช้า หรือ ชอบนอนดึกๆตื่นสายๆ หรือ ชอบทำงานตอนกลางคืนนอนกลางวัน บางคนอาจจะชอบอ่านหนังสือตอนดึกๆ ก็คิดว่าเราชอบทำงานตอนดึกๆ และเข้าเรียนในช่วงเช้าถึงเย็น แต่ความเป็นจริงแล้ว การอ่านหนังสือดึกๆ หรือ เช้าๆมีเหตุผลของการอ่านหนังสือ ไม่ใช่การชอบก็เป็นไปได้

เป็นคนชอบลุยๆ ซ่าๆ ปีนเขา ออกภาคสนาม หรือ เป็นคนเงียบๆ ชอบคิด ชอบอ่าน ชอบฝัน ชอบเที่ยวทะเลผ่อนคลายไปกับธรรมชาติ

ชอบอ่านหนังสือ หรือ ชอบดูโทรทัศน์

ชอบเอาใจเพื่อนๆ บริการเพื่อนๆ หรือ อะไรก็มองว่าตนเองจะเสียเปรียบมากน้อยเพียงใด

ชอบคุยมากน้อยเพียงใด หรือ แม้นแต่การขี้บ่นจู้จี้มากน้อยเพียงใดด้วย
เป็นต้น

สามารถปรับปรุงตนเองเพิ่มได้มากน้อยเพียงใด ข้อจำกัดของตนเองมากน้อยเพียงใด อย่างบางคนเวลาเรียนมักจะตื่นสาย แต่เวลาทำงานไม่สามารถตื่นสายแบบเวลาเรียนได้ ดังนั้น ก็จะต้องมีการปรับตัว และ หากคิดว่าตนเองปรับตัวไม่ได้ก็ต้องมองในลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง หรือ ทำงานในที่ทำงานที่เข้าสายๆ หรือ แม้นแต่เป็นคนไม่ค่อยคบกับใคร ก็ต้องปรับตนเองให้คบกับคนอื่นๆมากขึ้นเช่นกัน

ความชอบส่วนตัวเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ การหางานที่เหมาะกับลักษณะนิสัยของตนเอง จะทำให้ทำงานในงานนั้นๆได้นานกว่าการทำงานเพียงเพื่อที่จะได้เงินเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเลือกได้ การเลือกทำงานที่เหมาะกับนิสัยส่วนตัว จะทำให้การทำงานนั้นๆ ส่งผลในเชิงบวกมากขึ้น


องค์กรน่าจะได้คนแบบใดมาทำงาน


อันนี้เสริมในส่วนองค์กรว่า ควรจะออกแบบลักษณะคนที่จะเข้าทำงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ตามลักษณะพฤติกรรมของการทำงานนั้นๆ เช่น หากต้องทำงานนอกบริษัทฯ ก็ต้องการคนที่มีความชอบในการลุย อดทน และ ไม่คิดมาก จะรับเอาคนที่ชอบคิดไปออกภาคสนามก็จะไม่เหมาะ ดังนั้นองค์กรจึงควรที่จะวิเคราะห์งานที่จะรับในการดำเนินงานแต่ละงานว่า ควรจะรับคนประเภทใดเข้ามาทำงานในหน้าที่นั้นๆให้เหมาะสม และ สรรหาคนที่จะเข้าทำงานในหน้าที่นั้นให้ตรงมากที่สุดเท่าที่จะสามารถคัดเลือกได้ ก็มีโอกาสที่พนักงานจะทำงานได้นานขึ้น



บรรยายตัวเองตามรูปแบบ


เมื่อมีควาสมหวังในงานที่จะทำ เครื่องมือโดยทั่วไปของคนสมัครงานก็คือ Resume’ ทั้งนี้คนหางานก็จะพยายามเขียนตามรูปแบบมาตรฐานที่มีมา โดยลืมนึกไปว่า จริงๆแล้ว มาตรฐานเหล่านั้นก็เป็นเพียงการรวบรวมสิ่งที่องค์การต้องการทราบเบื้องต้น เท่านั้น ดังนั้น จึงร่ายยาวตามรูปแบบพื้นๆ ซึ่งอาจจะทำให้เสียโอกาส

Resume’ ที่ดีควรเป็นอย่างไรนั้น ในความคิดผมที่อ่านสิ่งเหล่านี้มามาก และ คนที่ผมจะรับเข้าทำงานร่วมในทีมด้วย จะเขียน Resume’ ในลักษณะอธิบายตัวตนของเขาให้มาก เพื่อให้ผมสามารถพิจารณาว่าเขาเป็นคนเช่นใด ดังนั้น ถ้าเป็น Resume’ ทั่วๆไป ผมก็อ่านแค่ผ่านๆว่า เขาเป็นอย่างไร แต่ Resume’ ที่แตกต่างและบรรยายตัวตนของเจ้าของได้มากกว่า จึงมีโอกาสที่ผมจะเรียกสัมภาษณ์มากกว่า นั่นหมายความว่า Resume’ ไม่ใช่เพียงเอาข้อมูลของคุณที่เป็นรูปธรรมมาใส่ลงไปเท่านั้น แต่คุณควรที่มีสิ่งที่เป็นนามธรรมที่จะอธิบายหรือ ชี้แจงความเป็นตัวคุณให้กับผู้อ่าน เพื่อให้เขาเปรียบเทียบกับงานของเขาว่า คุณเหมาะสมกับหน้าที่การงานลักษณะใด หรือ เหมาะกับงานที่สมัครมากน้อยเพียงใด และ หากเป็นไปได้ คุณก็น่าจะทำ Resume’ แบบเฉพาะในการสมัครแต่ละงาน เพื่อสร้างแรงดึงดูดของแต่ละงาน ไม่ใช่ทำแค่แบบกลางๆพื้นๆ สำหรับทุกองค์กร เพราะอะไรที่เหมาะกับทุกองค์กรหมายถึง มันเป็นสิ่งธรรมดาๆ สำหรับเขาด้วยเช่นกัน



หางานที่อยากทำ


คนหางานก็อยากที่จะทำงานในสิ่งที่อยากทำก่อน แต่งานที่อยากทำ อาจจะไม่อยากรับเพิ่มก็ได้ ทั้งนี้ ความต้องการกับการตอบสนองส่วนใหญ่มันก็มักจะไปกันคนละทางด้วย ดังนั้น การหางานที่อยากทำ ก็การได้ทำงานที่เหมาะกับตนเองและสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จึงควรนำเอามาพิจารณา

การหางานจึงต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานมาประกอบด้วย กล่าวคือ คนที่เดือดร้อนเรื่องเงิน ถ้ายังอยากทำงานที่ชอบ แต่ไม่ได้งานอาจจะอดตายก็ได้ หรือ คนที่มีเงินมีทองเหลือเฟือแต่เลือกงานที่อยากทำ สรุปแล้วก็อาจจะไม่ได้ทำงาน และ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้ความเชื่อมั่นในตนเองลดลงได้ ทั้งนี้ แต่ละคนก็ควรจะมีมุมมองทางด้านนี้ไว้ว่า บริบทของคุณนั้น กำลังอยู่ในจุดใด และ สามารถเลือกได้หรือไม่...

แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีการเลือกงานที่ตนเองอยากทำถึงแม้นจะได้งานที่ทำแล้วตรงกับตนเองก็ตาม ความเสียหายจึงตกไปอยู่กับผู้จ้าง ผู้ว่าจ้างจึงต้องมีมาตรการป้องกันและเริ่มมีกฎข้อบังคับ หรือ มีการผูกมัดคนทำงานลักษณะนี้ไว้ด้วย ซึ่งจะกล่าวในส่วนของการดึงดูดคนทำงานให้ทำงานกับบริษัทฯ



เงินเดือนต้องมากที่สุด


คนหางานส่วนใหญ่ อยากได้เงินเดือนที่มากที่สุดของตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ (ไม่ยกเว้นผมนะครับ) แต่อาจจะลืมนึกไปว่า งานที่คุณเข้าไปนั้นคุณมีความสามารถมากน้อยเพียงใดที่จะทำ คุณสามารถทำได้เหมือนคนที่เคยทำมาแล้ว 5-6 ปีหรือเปล่า ทั้งนี้ส่วนใหญ่ ก็จะมองว่า ต้องเรียกร้องให้มากที่สุด เพราะว่าองค์กรได้กำไรมาก เราก็ต้องได้มาก แต่อาจจะลืมนึกไปว่า องค์กรต่างๆเอง ก็จะพยายามมองหาคนทำงานที่ราคาต่ำที่สุด หรือ พอเหมาะกับงานที่รับผิดชอบ ดังนั้น ความต้องการของคนหางาน กับความต้องการของกำลังคน จึงเดินสวนทางกัน แล้วใครหละที่จะเป็นคนถอยก่อน 1 ก้าว คนที่มีอำนาจต่อรอง หรือว่า คนที่ไม่มีอำนาจต่อรอง คิดดู

คนที่ไม่ได้งานเพราะเกี่ยงเรื่องเงินก็มีมาก องค์กรที่บอกปฏิเสธคนเพราะได้คนที่เงินเดือนน้อยกว่า ในคุณภาพใกล้เคียงกันก็มี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมพอดีว่า จะสมยอมกันได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็คิดว่า คนหางาน ก็ยังเป็นคนที่ไม่มีอำนาจต่อรองมากนักในการสมัครงานอยู่ดี ยกเว้นคุณจะมีประสบการการทำงาน และ ทางองค์กรต้องการคุณอย่างมากเท่านั้น



ตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์ครั้งแรก


คนหางานมือใหม่ทุกคนมักตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์ครั้งแรก ประหนึ่งว่าเขากำลังเขาแท่นประหาร บางคนมือไม้สั่น พูดสั่น จนจับไม่ได้ประเด็น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้สัมภาษณ์ก็จะมองเห็น และ เมื่อเห็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่มี 2 กรณีที่เขาจะทำคือ ขู่ให้กลัวจนหัวหด หรือ คุยให้ผ่อนคลาย ดังนั้น คุณจะได้งานหรือไม่ได้งานก็จะขึ้นอยู่กับผู้สัมภาษณ์ว่าเขาจะจัดการกับคุณอย่างไร

ถ้าคุณมีการไปสัมภาษณ์ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือ ครั้งใดก็ตาม ให้ทำใจให้นิ่งเข้าไว้ คิดเสียว่า คนสัมภาษณ์ก็คือคนหางานที่ได้ทำงานก่อนเรา เขาเป็นคน เราก็เป็นคน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ให้เกรงใจเขาบ้าง ทั้งนี้ ถ้าได้โอกาสก็ต้องพยายายไขว่ขว้าโอกาสไว้ ด้วยการ คุยกับผู้ให้สัมภาษณ์อย่างจริงใจ และ จำไว้เสมอว่า ผู้กสัมภาษณ์ต้องการคนที่เป็นต้วของตัวเอง แต่ก็ต้องเข้ากับองค์กรได้ หรือ บางคนก็จะมองเรื่องทัศนคติที่ดี ดังนั้น การฝึกตอบคำถามทั่วๆไป ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นบ้าง

แต่ถ้าคุณเจอคนแบบผมคุณอาจจะงงไปเลยก็ได้เพราะผมจะคุยเรื่องทั่วๆไป ถามในสิ่งที่คนอื่นไม่ถามกัน ทั้งนี้ ผมต้องการที่จะหาคนที่เหมาะกับงาน มากกว่าการมองกระดาษที่เขาได้รับมา ผมหาคนทำงานที่ไม่ใช่คนพูดและนำเสนอเก่ง ผมหาคนที่มีทัศนคติที่ดีไม่ใช่หาคนมาแค่ทำงานเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ ผมก็คิดว่า หลายๆองค์กรก็ต้องการคนลักษณะเช่นนี้ ดังนั้น คุณต้องทำเรื่องต่างๆให้เป็นธรรมชาติ ปรับตัวเองให้เป็นคนที่องค์กรต้องการ หากคุณต้องการสมัครเป็นคนทำงานจริงๆ



ได้งานทำ หรือ การรอคอยอย่างมีความหวัง


เมื่อผ่านการสัมภาษณ์แล้ว สิ่งที่เกือบทุกคนจะได้รับคือ เดี๋ยวบริษัทฯจะติดต่อกลับไป มันเป็นคำที่ให้ความหวังกับผู้สมัครงาน แต่ เป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของคนรอคอยอย่างมาก มันเหมือนกับเชือดความมั่นใจของคนสมัครงานอย่างช้าๆทีละนิดๆด้วยเวลา นี่กลายเป็นคำตอบให้กับคนหางานว่า ทำไมคุณถึงเริ่มเฉื่อยลงเมื่อใช้เวลาสมัครงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผมจะพบได้จากลักษณะที่แสดงออกจากการสัมภาษณ์

วิธีง่ายๆสำหรับคุณคือ การทำใจไว้ 99% ว่าบริษัทฯที่ไปสัมภาษณ์มาแล้วนั้น ไม่รับคุณเข้าทำงาน คุณจะรู้สึกดีขึ้นและไม่ต้องรอว่าเขาจะโทรมาหรือเปล่า แต่ต้องหางานต่อไป อย่างมุ่งมั่นเพื่อป้องกันความเฉื่อยที่จะเกิดขึ้นครับ

บริษัทฯเหล่านั้นเสียโอกาสรับคนเก่งๆอย่างเราเข้าทำงาน

คนที่เชื่อมั่นในตนเองจะมีความเชื่อว่า ตนเองมีความสามารถในการทำงานทุกอย่างที่เขามอบหมายให้ ดังนั้น จงรักษาความเชื่อมั่นเหล่านั้นไว้ แต่แอบซ่อนสักหน่อยก็ดี เพราะว่า การจะเข้าไปทำงานในองค์กร สิ่งหนึ่งของผู้สัมภาษณ์หลายๆคนพยายามที่จะมองคือ คุณเชื่องขนาดไหน แต่ไม่ทั้งหมดทุกงานหรือทุกบริษัทฯหรอก บางงานเขาก็ต้องการความเชื่อมั่นสูง แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นกับลักษณะงานที่คุณเข้าไปสมัครด้วย แค่บอกว่า ถ้าว่าที่เจ้านายใหม่มองว่า เขาคุมคุณไม่ได้เขาจะตัดสินใจที่จะไม่รับคุณเข้าทำงาน อย่าลืมว่า ว่าที่เจ้านายใหม่คุณ ก็ยังเป็นคนและต้องรับผิดชอบคุณอยู่ ยังไงแล้วเขาก็ต้องมองถึงประโยชน์ส่วนตนของเขาอยู่ดี

ความเชื่อมั่นที่ผมอยากให้เก็บไว้เพราะว่า คุณจะต้องนำมันมาใช้งานตอนเวลาคุณทำงานอย่างแน่นอน อย่าให้อุปสรรคจากการหางานทำมาทำให้นิสัยดีๆส่วนนี้ของคุณหายไป เพราะถ้ามันหายไปแล้ว มันจะเรียกกลับมาค่อนข้างยากหรือต้องใช้เวลานาน


เริ่มปูพรมเพื่อหางาน


เมื่อความผิดหวังเริ่มก่อตัว นั่นหมายถึง คุณเริ่มที่จะเข้าใจมากขึ้นแล้วหละว่า ชีวิต ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องง่ายๆเพียงอย่างเดียว ถ้าคุณต้องการงาน คุณก็จะเริ่มหางานไปทั่ว ไม่ว่างานนั้นจะเหมาะกับคุณ หรือ เป็นงานที่คุณอยากที่จะทำหรือไม่ ทั้งนี้ แค่เผื่อเหนียวเอาไว้ไม่เสียหาย แต่นั่นแหละ คุณก็จะเริ่มได้สัมภาษณ์มากขึ้นจากการทำเช่นนี้ แล้วปัญหาตามมาก็คือ อาจจะได้หลายงานในเวลาเดียวกัน



ผิดหวังจากการหางาน


แต่หากคุณดำเนินการหางานต่อไปเนื่องจากผิดหวังจากการหางาน อาการของคุณก็จะเริ่มออกคือ ท้อแท้หดหู่ และ เมื่อถึงจุดๆนี้ จะเป็นจุดที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการคุณมากที่สุด เพราะ คุณจะลดค่าตัวคุณลงให้เข้าหาตัวเลขทางตลาดมากขึ้น หรือพูดกลับกัน ถ้ามีคนเข้ามาสมัครแล้วพบว่าเขามีความสามารถที่จะทำ แต่เขาบอบช้ำจากการสมัครงานมามากพอสมควรแล้ว สิ่งหนึ่งของผู้สัมภาษณ์ที่จะทำคือ การต่อรองเงินเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะได้คนเข้าทำงานในช่วงนี้เป็นต้นไป



เบื่อการสัมภาษณ์


ลักษณะอาการเบื่อการสัมภาษณ์หรือพยายามสัมภาษณ์ให้จบๆไป เป็นอีกลักษณะอาการหนึ่งที่พบหลังจากการบอบช้ำ ทั้งนี้ ยิ่งทำให้คุณเสียโอกาสมากขึ้นในการทำงานในองค์กรต่างๆ เพราะเขาก็จะมองว่าคุณไม่มีความกระตือรือล้นในงาน รับเข้ามาก็อาจจะทำงานแรกๆดี พอมีปัญหาก็ชิ่งหนี ดังนั้นไม่ว่าจะนัดสัมภาษณ์สักกี่ครั้งมาแล้ว ก็ต้องพยายามทำการบ้านว่าจะคุยอย่างไร ให้เหมือนกับการนัดสัมภาษณ์ครั้งแรกให้ได้ เพื่อที่จะไม่ให้เสียโอกาสไป (เขียนง่าย ทำยาก)



รู้สึกตัวเองไร้ค่า


บางคนที่มีปมด้อย เมื่อถึงจุดๆนี้ จะดูเหมือนว่าตัวเองช่างเป็นคนไร้ค่าเสียจริงๆ ที่สมัครงานมาเกือบปี แต่ไม่มีใครเอา ทั้งนี้ไม่ว่าจะลดอัตราเงินเดือนลงเท่าใด หรือ ลดการเลือกงานลงก็ไม่เป็นผล เพราะ บริษัทฯต่างๆ ก็จะรอรับเด็กใหม่ที่เพิ่งจบในอีกไม่นาน งานที่จะรับก็จะต้องมีประสบการณ์มาบ้างเขาถึงจะรับ เป็นช่วงที่น่าท้อแท้ใจอีกช่วงหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็อย่าท้อใจนานนัก ให้พยายามต่อไปครับถ้าต้องการทำงานในบริษัทฯ เพราะอาจจะมีอีกหลายองค์กรที่ไม่ได้รอนักศึกษาจบใหม่นะครับ



รุ่นน้องจะจบแล้ว


และแน่นอนว่า รุ่นน้องที่กำลังจะจบมาก็จะเริ่มเข้าวัฐจักรของการกำหนดเงินเดือน กำหนดความต้องการของตนเอง ทั้งนี้ คนที่จบมาที่ไม่ได้งานมาเป็นปี ก็จะมีคู่แข่งการหางานมากขึ้น แต่นั่นแหละ ความบอบช้ำที่ผ่านมาทำให้ความต้องการเงินเดือนของคุณลดลง จนเหมาะสมกับตลาด ซึ่งก็น่าจะดีใจขึ้นว่า คุณก็จะมีโอกาสที่จะได้งานทำเพิ่มมากขึ้น หากไม่เลือกงานมากนัก



ทำไม และ เริ่มไม่ทำ ไม่หางาน


และบางคนเมื่อไม่ได้งาน ท้อแท้ จิตใจไม่เข้มแข็งจริงๆ ก็จะเริ่มไม่หางานไม่ทำงาน ยิ่งทางบ้านสามารถเลี้ยงได้ หรือ มีธุรกิจส่วนตัวก็จะดึงเข้าไปทำธุรกิจของตนเองแล้ว และแล้วความสูญเสียของชาติ ก็ตกไปอยู่กับกลุ่มคนที่เรียนสูงแต่ไม่ทำงานไป...


--------------------------------------------------------------------------------


สิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงมุมมองว่าวัฐจักรการหางานนั้น จุดที่องค์กรเลือกที่จะรับคนเข้าทำงานคือจุดที่คนหางานเริ่มบอบช้ำจากการหางาน ซึ่งมันง่ายกว่าที่จะเลือกคนที่จบใหม่ๆมาทำ ความผิดหวังบอบช้ำจะทำให้เขาเริ่มเห็นคุณค่าของงานว่าหายากกว่าจะได้งาน ซึ่งแน่นอนว่า มันจะส่งผลถึงการอยู่ในองค์กรที่นานขึ้น

องค์กรที่รับเด็กใหม่เข้าทำงาน จากการสมัครงานครั้งแรก จะพบปัญหาของการลาออก เนื่องจากได้งานใหม่ หรือ จะอ้างว่างานที่ทำไม่เหมาะกับเขา หรือ ค่าแรงน้อยเกินไป งานใหม่ให้เงินมากกว่า กลุ่มคนที่จบมาใหม่แล้วได้งานก็คิดว่า งานหาง่าย แต่ก็ยังดีที่ HR บางคนยังไม่ได้มองเห็นถึงจุดๆนี้

มีคนว่างงานหลายคน และ จากนี้ไปจะยิ่งมีคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเลือกงาน และ การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงกว่าความสามารถที่จะจ่ายได้ขององค์กร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่จะเริ่มมีการหดตัวขนานใหญ่ ซึ่งขอทำนายไว้น่าจะประมาณ สิงหาคม ถึง ตุลาคมปีนี้ คนชั้นทำงานจะมีเงินเดือนจะไม่พอค่าใช้จ่าย แล้วยิ่งไม่มีงานทำ ก็ยิ่งจะลำบาก

ทั้งนี้ หากไม่ได้งานทำจริงๆ ก็อยากที่จะให้มองหาธุรกิจเล็กๆที่สามารถเลี้ยงตนเองได้รอด แล้วค่อยพัฒนาธุรกิจต่อไปให้มีรายได้เพิ่มขึ้นก่อนจะดีกว่า แต่พึงระลึกเสมอว่า เศรษฐกิจของไทยยังไม่คงที่ ถ้ายิ่งรัฐบาลยังเป็นไม่ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ยังมองภาพความรุ่งเรืองของประเทศไม่เห็นเลยแม้นแต่น้อย .. เหนื่อยใจ..


--------------------------------------------------------------------------------



สรุป...



ในฐานะลูกจ้าง :-
การหางานนั้น อย่าให้วงจรของการหางานที่ยาวนานมาบีบบังคับให้ความคิด ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนไป เพราะ จะกลายเป็นจุดอ่อนให้กับองค์กรที่กำลังหาคน ใช้จุดนี้ในการที่จะกดดันคุณให้โอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งถ้าสามารถทำให้การสมัครงานทุกครั้ง กระตือรือล้นเหมือนครั้งแรก ก็จะทำให้ ความเชื่อมั่นในเวลาสัมภาษณ์งาน จะเพิ่มขึ้นทุกครั้งเช่นกัน


ในฐานะองค์กร :-
การจะหาคนเข้าทำงานนั้น ถ้าคุณต้องการคนงานที่อยู่กับคุณได้นานๆ และคุณมีคนให้เลือกมาก เช่น ถ้ามีคนที่จบเมื่อปีที่แล้วกับคนจบใหม่ ผมจะเลือกคนจบปีที่แล้ว เพราะ เขาผ่านความบอบช้ำมามากแล้ว ทำให้เขาเห็นคุณค่ากับโอกาสที่คุณได้เสนอให้เขา และ เขาจะทำงานให้คุณได้นาน และ ทุ่มเทกว่า อีกทั้งยังสามารถมีโอกาสได้คนในราคาตลาดได้มากกว่าด้วย


โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)

ถอดรหัส "ทักษิณ 24 ชม. หลังยึดอำนาจ" ส่อสู้ไม่ถอย
















"...คุณต้องจำไว้ว่า ผมเป็นคนที่แต่งตั้งคุณเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมสนับสนุนคุณให้แก้ปัญหาภาคใต้ คุณอย่ายุ่งเรื่องการเมือง...หากคุณสัญญา ผมจะขยายเวลาให้อยู่ในตำแหน่งอีก 1 ปี"

ต่อไปนี้ เป็นการคัดย่อถอดความหนังสือ "ทักษิณ 24 ชั่วโมง หลังรัฐประหาร"(Thaksin 24 Hours After the Coup) เปิดตัวในงานสัปดาห์หนังสือที่ฮ่องกง ซึ่งวันนี้ถูกแปลเป็นพากย์ไทย รวมจำนวน 10 บท

...วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีครามและเงียบสงัด มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณภูมิโดยเฉลี่ย 23 ดีกรีเซลเซียส ระดับความชื้น 78% นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้า ช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานครนิวยอร์กเงียบสงัดที่สุด ลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้…

ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณ ขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรส ซิเดนท์เชี่ยลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รก ม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้องทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ เขานอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมา

...ฝ่ายทหารก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของ ร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ นักโทษผู้ต้องสงสัย เขาสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และเป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภจึงถูกสอบสวน เขาบอกว่า เขาถูกใส่ร้าย คนขับรถของเขาได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน

โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และหากว่าร้อยโทธวัชชัยจะสังหารทักษิณจริง “ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด” ดังนั้น “ ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น” โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม.....หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้...อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาอาจจะหนีไม่รอดแน่”


















คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเท็จ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เป็นบุคคลทางทหารที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของไทย ตอนที่เขาเพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ก็ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหารนักการเมืองที่ประวัติไม่ดี เมื่อทศวรรษที่ 1980 เขาเคยเข้าร่วมการรัฐประหารที่แท้งก่อนเกิด ซึ่งก่อการโดยกลุ่มยังเติร์กจนถูกจับ และหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้เข้าเข้าสู่กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ

พลเอกพัลลภ มีอุปนิสัยโหดเหี้ยม เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลด้าน ยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากฝนแห่งกระสุนปืนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คน เหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า “เหตุการณ์เศร้าสลดที่มัสยิดเกรือเซะ”

เมื่อต้นปีนี้ พลเอกพัลลภ อยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมือง อย่างเปิดเผย ในขบวนการ “โค่นล้มทักษิณ” ซึ่งมีอานุภาพเกรียงไกร พลเอกพัลลภกล่าวว่า “เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลอง (ซึ่งขับไล่ทักษิณ) แน่นอน” เขายังกล่าวอีกว่า “สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร”

ขณะที่พลเอกพัลลภ เรียกร้องว่าตนถูกใส่ร้ายอยู่นั้น คนจำนวนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับ "แผนการสังหารนายกรัฐมนตรี" กล่าวกันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจค้นบ้านของพลเอกพัลลภ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับระเบิดดังกล่าว

...ทักษิณ นั่งอยู่บนขอบเตียง โดยรู้สึกว่าสมองโล่งเปล่าซักสองสามวินาที ท่ามกลางความตกใจอย่างสุดขีด บางคราวก็รู้สึกชาและมึนงงเสมือนว่ากำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปและไม่คิดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป

การหลบหนี...ความทุกข์ทั้งมวลในจิตใต้สำนึกนั้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เพื่อปกป้องตนเองในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เขานั่งอยู่อย่างนิ่งเงียบเหมือนท่อนไม้โดยไม่ได้เปิดไฟ ห้องอันมืดสนิทปกคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร สำหรับการเจรจาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งได้บอกล่วงหน้าถึงพายุระลอกนี้ มาถึงตอนนี้ราวกับว่าคลื่นน้ำระลอกใหญ่ได้พัดผ่านโขดหินแล้ว ภาพเรื่องราวต่างๆ ได้ประติดประต่อและปรากฎตัวอย่างชัดเจนในหัวสมองของเขา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนเองได้ถูกหลอกแล้ว

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิฯ ผู้บัญชาการทหารบก หนึ่งครั้งที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ทักษิณทราบดีว่า เบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีชนชั้นหนึ่งที่มีบารมีและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งนั่นก็คือ กองทัพ ที่จะสามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดานายทหารที่ถือกระบอกปืนเหล่านี้ ดูเผินๆ เหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอิสระเหนือรัฐบาล แต่ที่แท้จริงแล้วแค่เพียงกระดิกนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียวก็สามารถที่จะขับเขาให้ตกจากที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งก็เหมือนกับเขาที่ล้วนแต่เป็นส่วนประกอบที่ขับความเด่นให้แก่ผู้มีอำนาจสูงสุด ซึ่งไม่แสดงตัวออกมา แต่ที่สิ่งที่เขากังวลกลับเป็นท่าทีของฝ่ายทหาร ฝ่ายทหารเคยชินกับการใช้วิธีการรัฐประหาร โดยขับไล่นายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่ถูกใจออกไป

การหารือในครั้งนี้เป็นเหตุมาจากการพิจารณารายชื่อการแต่งตั้งนายทหาร นับตั้งแต่มีข่าวว่าออกมาว่าฝ่ายทหารอาจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในวิกฤตการเมืองครั้งนี้ ทักษิณก็ได้มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าสุดท้ายสถานการณ์คงต้องพัฒนาไปเป็นการแย่งชิงอำนาจโดยมีกองทัพเป็นผู้บัญชาการ ใครที่สามารถควบคุมกองทัพได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ตามจากข่าวลือซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สื่อออกข่าวกันอย่างกว้างขวางนั้น ทำให้ในเดือนกันยายน

ทักษิณ ได้ใช้สิทธิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อนายทหารที่ฝึกอบรมในโรงเรียนนายทหาร ซึ่งสนับสนุนตนจำนวนร้อยกว่าคนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองพลที่หนึ่ง (ทักษิณ ยังได้พยายามที่จะเลื่อนตำแหน่งให้พลตรีพฤณฑ์ สุวรรณทัต ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง ที่ดูแลความสงบในเขตกรุงเทพฯ และต้องการให้ พลตรีดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ ซึ่งเป็นพันธมิตรมารับผิดชอบในกองพลทหารราบที่หนึ่งด้วย โดยแต่เดิมนั้น พลเอกพรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ก็เป็นคนของเขา ดังนั้น หากสามารถเปลี่ยนนายทหารระดับกลางและระดับสูงภายในกองทัพบกให้เป็นพวกตนได้ ก็สามารถมีอำนาจในการบังคับบัญชากองทัพที่ดูแลความสงบในกรุงเทพฯ ได้อย่างมั่นคง มีการพูดกันว่า เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ทักษิณมีเรื่องที่ผิดใจกันกับฝ่ายทหารและทำเนียบองคมนตรี) (อ้างจาก Hawn W Crispin Asia Times Online วันที่ 21 กันยายน 2006)

พลเอกสนธิ อายุมากกว่าทักษิณ 4 ปี เกิดในครอบครัวมุสลิม บริเวณใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ โดยบรรพบุรุษได้เคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย ตัวพลเอกสนธิ เองจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ ซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย หลังจากเข้าร่วมในสงครามเวียดนามก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

เคยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารราบสงครามพิเศษ โดยได้รับการแต่งตั้งจากทักษิณให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งทำให้บุคคลมากมายต่างพากันตกใจ เนื่องจากบรรดาทหารในกองทัพไทยส่วนใหญ่จะเป็นชาวพุทธ พลเอกสนธิ นับเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรก ที่เป็นชาวมุสลิม

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า เหตุผลหลักที่ทำให้ทักษิณเลือกพลเอกสนธิเนื่องจากต้องการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การรบในสนามรบที่ช่ำชองและลัทธิ ความเชื่อของมุสลิมเพื่อแก้ปัญหาชาวมุสลิมที่ก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทยซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ดูจากภายนอกแล้ว พลเอกสนธิดูไม่เหมือนผู้ที่จะวางแผนทรยศโดยลุกขึ้นมาก่อ การรัฐประหาร ทั้งภาพลักษณ์และการพูดจาของนายทหารระดับมืออาชีพท่านนี้ล้วนแต่แสดงออกถึงบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยน แม้ตอนถอดชุดทหารแล้วก็กลับดูเหมือนศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย

“คุณคิดจะก่อรัฐประหารโค่นล้มผมหรือเปล่า” ทักษิณถามอย่างตรงไปตรงมา

“จะเป็นไปได้อย่างไร ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก” พลเอกสนธิตอบด้วยเสียงเบาๆ ตามปกติ ระหว่างที่เขาพูดนั้น สายตาเขามักจะมองก้มลงโดยไม่รู้ตัว และกวาดตามองเป็นครั้งคราว เหมือนกับแมลงปอบินระน้ำ น้ำเสียงก็ค่อนข้างแผ่วเบา น้ำเสียงอยู่ในโทนเดียวตลอด คำพูดที่ออกมาจากปากเขาไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่แสดงถึงความสนิทคุ้นเคยหรือคำพูดที่น่ากลัวก็ล้วนแต่พูดออกมาอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน

นี่ไม่ใช่ผู้ที่กระหายในเลือด เมื่อเขาได้รับภารกิจให้แก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย เขาได้กล่าวว่า “แม้จะต้องมีการปะทะกันทางวาจาระหว่างเจรจา ก็จะไม่ใช้กำลังอาวุธมามาสงบสถานการณ์” สำหรับข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนั้น เขาได้เปิดเผยท่าทีว่า “ฝ่ายทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว การก่อรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัยอย่างมาก” แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองแย่ลง เขาก็ได้เคยกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่า “ในฐานะที่เป็นนักรบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเราอยากที่จะช่วยพระองค์ในการขจัดความกังวลและ ความทุกข์ยากทั้งปวง ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระองค์อย่างเคร่งครัด”

ทักษิณ ถอนหายใจ เขาไม่สามารถจะแน่ใจได้ว่าคำสัญญาของพลเอกสนธินั้นเชื่อถือได้เพียงใด “คุณต้องจำไว้ว่า ผมเป็นคนที่แต่งตั้งคุณเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมสนับสนุนคุณ ก็เพราะหวังให้คุณทุ่มเทกำลังในการแก้ปัญหาภาคใต้ คุณอย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง ขอให้สัญญากับผมด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของคุณและความเป็นพี่น้องว่าคุณจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องการเมือง หากคุณสัญญา ผมจะขยายระยะเวลาให้คุณอยู่ในตำแหน่งนานขึ้นอีก 1 ปี”

“ผมสัญญา” คำตอบที่สั้นแต่หนักแน่น พลเอกสนธิยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ และจับมือกับทักษิณ โค้งคำนับ 1 ครั้ง และเดินออกไป การหารืออันเต็มไปเสียงฟ้าอึมครึ้มที่เป็นลางบอกถึงฝนที่กำลังจะตกนั้นก็ได้สิ้นสุดลง

บัดนี้ เรื่องราวได้เป็นที่กระจ่างแล้วว่า พลเอกสนธิได้หลอกเขา ทรยศเขา ในสุดท้ายทักษิณก็ได้ประจักษ์ถึงความจริง ภายใต้ภาพลักษณ์อันสุภาพอ่อนโยนของผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ ได้ซ่อนจิตใจอันเด็ดเดี่ยวที่สุด มีความสามารถแบกรับภาระกิจอันยากลำบากและกล้าตัดสินใจด้วยความกล้าหาญเป็นที่สุด รวมทั้งในการกระทำทุกอย่างก็ยอมเสียสละอย่างถึงที่สุดด้วย นายทหารเก่าที่เคยร่วมรบสงครามเวียดนามท่านนี้ นายพลที่กล่าวไว้หลายครั้งว่าไม่คิดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองท่านนี้ นายทหารไทยที่เงียบๆ ไม่ค่อยเป็นข่าวท่านนี้ ภายในระยะเวลาเพียงคืนเดียวเขากลับทำให้คนทั้งโลกจำเขาได้อย่างแม่นยำ

ที่น่าแปลกก็คือ ในการเจรจาที่ไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเป็นพยานนั้น เรื่องที่ผ่านการถ่ายทอดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกคนกลับแตกต่างกันราวกับเป็นเรื่องราโชมอนอีกต้นฉบับหนึ่ง เมื่อพลเอกสนธิให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากนั้น ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนที่หารือกับทักษิณว่า

“ตอนนั้นท่านทักษิณถามผมว่า คุณจะก่อการรัฐประหารหรือไม่ ผมก็ตอบไปอย่างชัดเจนว่า ผมจะทำ ผมไม่เสียใจที่ตอบไปเช่นนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะตอบท่านเช่นเดิม”

พลเอกสนธิ ยังกล่าวอีกว่าระหว่างเขากับผู้มีบุญคุณที่แต่งตั้งเขาขึ้นมานั้นแทบจะไม่มี “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ระหว่างกัน ก่อนเกิดการรัฐประหาร มีครั้งหนึ่งเขาได้ตามทักษิณไปเยือนประเทศพม่า มีคนเตือนให้เขาระมัดระวัง ดังนั้น เขาจึงได้สั่งให้ลูกน้องพกปืนไปด้วย โดยส่วนตัวเขาเองได้นั่งตรงข้างประตูเครื่องบิน “เพื่อจะได้จัดการกับเรื่องฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที”

สุดท้ายแล้วไม่ทราบว่าใครที่โกหก สมมุติว่าเป็นจริงดังเช่นที่พลเอกสนธิเล่าว่าเขาได้พูดต่อหน้าทักษิณว่า “ผมจะโค่นล้มคุณ” ถ้าเป็นเช่นนั้น ทักษิณก็ต้องรีบจัดการโต้ตอบในทันทีถึงจะถูก ทักษิณก็ควรรีบจัดการคนที่เป็นอันตรายต่ออำนาจทางการเมืองในปัจจุบันของเขาโดยการปลดออกจากตำแหน่งและลงโทษทางวินัยในทันที

แต่ทว่า ทักษิณกลับไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นกลับแกล้งเป็นหูหนวกตาบอดเหมือนไม่มีอะไร ไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น นั่งรอให้ศัตรูมาทำร้ายตนเองจนถึงแก่ความพ่ายแพ้ ปฏิกริยาตอบสนองเช่นนี้ออกจะแปลกประหลาดเกินไปกระมัง

...หลังจากได้ฟังโทรศัพท์จากภรรยา ทักษิณก็นิ่งอึ้งไป

ราวกับว่าเวลายาวผ่านไปนานหมื่นกว่าปี ทั้งที่จริงๆ แล้วผ่านไปเพียงแค่สิบกว่าวินาที ทันใดนั้นเขาก็มีสติกลับมาโดยรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาบุคคลคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายข่าวกรอง ฝ่ายทหาร รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรมตำรวจ ข้าราชการผู้ใหญ่ตามพื้นที่ เป็นรายชื่อที่ยาวมาก แม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ทราบได้โทรศัพท์ไปทั้งหมดกี่ครั้งภายในสองชั่วโมงกว่า

ณ ขณะนี้สิ่งที่ทักษิณต้องการอย่างเร่งด่วนก็คือต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าว่าข่าวที่ตนได้จากภรรยานั้นเป็นความจริงหรือไม่โดยสอบถามจากบุคคลหลายๆคน แต่คำตอบที่ได้นั้นช่างน่างงงวย บางคนบอกว่าเป็นเรื่องจริง บางคนกลับบอกว่าเป็นข่าวลือ บางคนก็ไม่ทราบอะไรเลย บรรดาสมาชิกคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลทักษิณต่างแทบจะรู้เรื่องเมื่อนาทีที่เกิดการรัฐประหารขึ้นกันทั้งนั้น ส่วนฝ่ายข่าวกรองของรัฐบาลนั้น ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่ได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือใดๆ เลย

…ความรู้สึกกระสับกระส่ายได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา

เขารู้สึกเสียใจที่ได้คาดการณ์ผิดอย่างมาก การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Tele -Conference เมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว ผู้บัญชาการทหารบก เรือ และอากาศ ล้วนไม่ได้เข้าร่วมประชุม ผู้ใดก็ตามที่มีไวต่อความรู้สึก ย่อมต้องรู้สึกได้ว่ามันเป็นสัญญาณบอกถึงความผิดปกติ แน่นอนว่าเขาได้สังเกตเห็นแล้ว แต่ทว่ากลับเพิกเฉยมิได้สนใจ อีกทั้งยังเข้านอนอย่างไม่ได้ตะขิดตะขวงใจเลย

สิ่งนี้เป็นความผิดที่ยากจะอภัยได้อย่างยิ่ง

ทักษิณถือโทรศัพท์เดินไปมาในห้อง เขาได้สั่งให้ พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในประเทศไทย รีบควบคุมสถานการณ์ เขายังได้ติดต่อกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในกรุงปารีส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกับเขา

เขาพบว่ารัฐมนตรีกระทรวงที่สำคัญของไทยหลายท่าน ล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศในขณะนั้น

ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังร่วมงานนิทรรศการวัฒนธรรมไทย-ฝรั่งเศสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธาน ณ กรุงปารีส

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังพักร้อนอยู่กับครอบครัวที่ประเทศฝรั่งเศส

พลอากาศเอกคงศักดิ์ วันทนา ประธานกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้บินจากกรุงเทพฯ ไปประเทศเยอรมนีแล้ว

ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ไปติดตามเขาไปประชุมที่กรุงนิวยอร์ก

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมประชุมประจำปีของธนาคารโลก ที่ประเทศสิงคโปร์

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็อยู่ที่กรุงปารีสเช่นเดียวกัน

แล้วเขาก็คิดขึ้นมาทันที ถึงคำเตือนของหมอดู ที่ได้โทรมาเตือนเขาเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ให้ระมัดระวัง ศัตรูกำลังคิดจะโจมตีท่าน แต่ว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายท่านให้บาดเจ็บ”

คำทำนายอันโชคร้ายนี้ ช่างแม่นยำจริงๆ ศัตรูไม่มีทางทำร้ายเขาได้ และก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขาด้วย พวกนั้นต้องการที่จะขับไล่เขาออกนอกประเทศ เพราะการขังนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่รักของประชาชนผู้ยากไร้ไว้ในประเทศรังแต่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย

ในขณะนี้ ทักษิณพร้อมที่จะสู้แต่ไม่มีกำลังและอำนาจก็ครอบคลุมไปไม่ถึง ดูตามรูปการณ์แล้ว เรื่องราวทั้งหมดได้ผ่านการวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฝ่ายทหารได้เลือกห้วงเวลาที่เหมาะสมแล้วจริงๆ เขาคิด นอกจากจะเลือกเวลาที่เหมาะสมแล้ว ยังกล้าที่จะเสี่ยงทำความผิดอันใหญ่หลวง โดยกลับไปเดินเส้นทางเก่าเมื่อ 73 ปีก่อน ในยุคศตวรรษที่ 21 อีกด้วย

...ความคิดล้มล้างทักษิณโดยการรัฐประหารทางทหารกำลังดำเนินการต่อไป

วันที่ 19 กันยายน 2550 เวลา 18.30 น. กรุงเทพมหานคร มีข่าวว่า 4 หน่วยรบพิเศษจากภาคตะวันออก 4 จังหวัดของไทยกำลังทำการรวมกำลังพล ภายหลังการตรวจสอบแล้ว พบว่ากองกำลังทั้ง 4 หน่วยคือกรมทหารราบที่ 31 กรมทหารม้าที่ 23 กรมทหารม้าที่ 24 และกองพลที่ 2 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังสำคัญจากกองทัพภาคที่ 3 และกองทัพภาคที่ 5

ในคืนวันเดียวกันนั้น กองกำลังเหล่านี้พร้อมอาวุธครบมือได้เข้ามาทำการคุมสถานการณ์ด้านทิศตะวันออกและเหนือรอบ กทม. เป็นบริเวณ 100 กม. การที่กองกำลังพิเศษที่ประจำการอยู่ที่ จ. ลพบุรีไม่ได้เดินทางกลับค่ายทหารหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการฝึก เป็นการแสดงออกถึงอาการที่น่าเคลือบแคลงใจ เพราะว่าจุดหมายการเดินทางของกองกำลังพิเศษ จ. ลพบุรีและกองกำลังรถหุ้มเกราะตอบโต้เร็วและกรมทหารราบที่ 9 จังหวัด กาญจนบุรี นั้นล้วนมุ่งมาที่ กทม. โดยที่จังหวัดทั้งสอง (กาญจนบุรี และลพบุรี) ล้วนห่างจะกรุงเทพฯ เป็นเวลาเพียง 2 ชั่วโมง

ในเวลาเดียวกันนั้น มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า...ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์...ทำให้นักวิเคราะห์ล้วนคิดว่า พล.อ. เปรม ผู้ซึ่งมีฉายาว่า "เพชรฆาตแม่น้ำเจ้าพระยา" คือ ค้นคิดผู้บงการการรัฐประหารอย่างลับ ๆ


ข้อมูลและภาพประกอบจาก

งานมหัศจรรย์...เที่ยวไทย 2551

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรมไทย (THA) สมาคมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) สมาคมผู้ประกอบการการนำเที่ยวไทย (สนท.) และสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) กำหนดจัดงานส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวสำหรับประชาชนทั่วไป (Consumer Fair) ชื่องาน "มหัศจรรย์...เที่ยวไทย 2551" ภายใต้แคมเปญ "เที่ยวไทยครึกครื้น...เศรษฐกิจไทยคึกคัก" ระหว่างวันที่ 20 - 21 ธันวาคม 2551 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวและเปิดมุมมองใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวให้หันมาท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ

ในงานนี้มีผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวสาขาต่างๆ กว่า 100 บูธ เสนอขายแพคเกจทัวร์ สถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท สถานบันเทิง สปา สายการบิน ฯลฯ ในราคาพิเศษ

นอกจากนี้ยังมีการจัดโซนกิจกรรมตาม Theme ท่องเที่ยวของภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคใต้ Blue & Green : Clean & Clear Zone, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ "แหล่งเรียนรู้อู่อารยธรรม" หรือ "The Land of Wisdom", ภาคเหนือ "อารยธรรมล้านนา" หรือ "Classy Lanna" และภาคกลาง "ถวิลหาอดีต" หรือ "Nostalgia Tourism Zone" เป็นต้น รวมทั้งกิจกรรมการแสดงทางวัฒนธรรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้มากมาย

วันและเวลา

วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 20 - 21 ธันวาคม 2551
ณ ห้องบอลรูม โซน เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : TAT Call Center 1672



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

แนวโน้มโลกไอที ปี 2552

แนวโน้มโลก ไอที ปี 2552 โกลบอลเทคโนโลยี อินทิเกรเทด

คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีบทบาทในโลกธุรกิจยิ่งขึ้น เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่ายโดยรวมขององค์กรลงอย่างได้ผล ยิ่งเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย สิ่งที่น่าจะเห็นในอนาคตอันใกล้คือการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แทนแรงงานคน เกิดการขยายตัวของรูปแบบการทำงานที่บ้าน โดยอาศัยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต การทำงานแบบไร้กระดาษ ตลอดจนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ทวีจำนวนขึ้น

เหตุนี้แนวโน้มธุรกิจกับการวัดคุณค่าขององค์กรจึงมีแนวโน้มเปลี่ยนไป จากเดิมวัดที่ขนาดองค์กรและจำนวนพนักงาน มาเป็นวัดประสิทธิภาพบุคลากร องค์กรใหญ่จะแตกออกเป็น profit center หรือ business unit มากขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อม สิ่งที่ต้องตระหนักถึงและเตรียมรับมือให้พร้อม คือ


แนวโน้มเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัย













เทคโนโลยี Two-Factor Authentication เป็นการระบุตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่ใช้เพียง username และ password ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพอาจขโมยข้อมูลและปลอมตัวเพื่อแสวงประโยชน์ได้ (Identity Threat) เทคโนโลยีจึงมีแนวโน้มอุดช่องโหว่ ด้วยการใช้ Token หรือ Smart card ID มาเสริมเพื่อเพิ่มปัจจัยในการพิสูจน์ตัวตน โดยเฉพาะกับการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ และธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ

เทคโนโลยี Single Sign On (SSO) เข้าระบบต่างๆ ด้วยรายชื่อเดียวเชื่อมทุกแอพพลิเคชั่นเข้าด้วยกัน จำเป็นมากในยุค Social Networking ช่วยให้เราไม่ต้องจำ username / password จำนวนมาก สำหรับอี-เมล chat, web page รวมถึงการใช้บริการ Wi-Fi / Bluetooth / WiMAX / 3G / 802.15.4 เป็นต้น

เทคโนโลยี Cloud Computing เมื่อมีการเก็บข้อมูลและใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากขึ้นตามการขยายตัวของระบบงานไอที ส่งผลให้เครื่องแม่ข่ายต้องประมวลผลการทำงานขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็ว จึงมีแนวคิดเทคโนโลยี Clustering เพื่อแชร์ทรัพยากรการประมวลผลที่ทำงานพร้อมกันหลายเครื่องได้ เรียกว่า Cloud Computing ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพ เข้าสู่ยุคโลกเสมือนจริงทางคอมพิวเตอร์ (visualization) ทั้งยังช่วยลดทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ ถือเป็นไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green IT) อีกด้วย

เทคโนโลยี Information Security Compliance Law โลกไอทีเจริญเติบโตไม่หยุดนิ่ง ด้วยมาตรฐานที่หลากหลาย ระบบความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ จึงมีแนวโน้มจัดมาตรฐานเป็นหมวดหมู่ เพื่อความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร โดยนำ Log ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานมาจัดเปรียบเทียบตามมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO27001 สำหรับความปลอดภัยในองค์กร, PCI / DSS สำหรับการทำธุรกรรมการเงิน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อสืบหาผู้กระทำความผิด เป็นต้น

เทคโนโลยี Wi-Fi Mesh Connection ใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย ต้องเชื่อมโยงผ่าน Access Point สามารถเชื่อมต่อแบบ Mesh (ตาข่าย) เข้าถึงโลกออนไลน์ได้สะดวกขึ้น ผู้ให้บริการ Wi-Fi ก็มีแนวโน้มใช้แอพพลิเคชั่นในการเก็บบันทึกการใช้งานผู้ใช้ (Accounting Billing) และนำระบบ NIDS (Network Intrusion Detection System) มาใช้ เพื่อเฝ้าระวังการบุกรุกหลากรูปแบบ เช่น การดักข้อมูล, การ crack ค่า wireless เพื่อเข้าถึงระบบ หรือปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นโดยมิชอบ เป็นต้น

เทคโนโลยีป้องกันทางเกตเวย์แบบรวมศูนย์ (Unified Threat Management) แม้เทคโนโลยีนี้จะใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ต้องกล่าวถึงเนื่องจากธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มเป็นเอสเอ็มอีมากขึ้น เทคโนโลยีนี้ถือว่ามีประโยชน์กับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะผนวกการป้องกันในรูปแบบ Firewall / Gateway เทคโนโลยีป้องกันข้อมูลขยะ (Spam) การโจมตีของ Malware/virus/worm การใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม (Content filtering) รวมอยู่ในอุปกรณ์เดียว

เทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึก (Network Forensics) การกลายพันธุ์ของ Virus/worm computer ทำให้ยากแก่การตรวจจับด้วยเทคนิคเดิม รวมถึงพนักงานในองค์กรมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์สูงขึ้น ซึ่งอาจจะใช้ทักษะไปในทางที่ไม่เหมาะสม หรือเรียกได้ว่าเป็น "Insider hacker" การมีเทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึกจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการตรวจจับสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นผ่านระบบเครือข่าย เพื่อใช้ในการพิสูจน์หาหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ประกอบการดำเนินคดี

เทคโนโลยี Load Balancing Switch สำหรับ Core Network เพื่อใช้ในการป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data loss) โดยเฉพาะในอนาคตที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลบนระบบเครือข่ายจะสูงขึ้น เทคโนโลยีนี้จะช่วยกระจายโหลดไปยังอุปกรณ์ป้องกันภัยอื่นๆ ได้ เช่น Network Firewall หรือ Network Security Monitoring และอื่นๆ โดยไม่ทำให้ข้อมูลสูญหาย


แนวโน้มภัยคุกคาม














ภัยคุกคามที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2552 คงไม่ต่างจากปี 2551 แต่จะมีเทคนิคใหม่ เพิ่มความสลับซับซ้อนขึ้น ด้วยช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายยิ่งขึ้นยิ่งเรื่อง Personal Mobile Devices ที่ใช้มือถือเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และมีการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ผ่านเว็บแอพพลิเคชั่นมากขึ้น เกิดภัยคุกคามในรูปแบบที่เรียกว่า Zombie หรือ "ผีดิบซอฟต์แวร์" จำนวนมาก รวมเรียกว่า Botnet

ในอนาคตผีดิบพวกนี้จะมาจากมือถือด้วย ก่อให้เกิดการโจมตีในหลายรูปแบบ เช่น DDoS/DoS ทำให้เป้าหมายไม่สามารถปฏิบัติงานได้ การส่งสแปม การหลอกลวงผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต (Phishing) การเจาะระบบ (Hack) เพื่อเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับ วันนี้แฮกเกอร์ไม่ได้มีเป้าหมายเจาะระบบเครือข่ายธนาคารหรือผู้ให้บริการธุรกรรมออนไลน์ แต่เปลี่ยนเป้าหมายเป็นผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าแทน อาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้งานทั่วไปเป็นเครื่องมือ สิ่งเหล่านี้ป้องกันได้หากรู้เท่าทันภัยคุกคามดังกล่าว...โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง

ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อภัยคุกคามสมัยใหม่ ?

1. หมั่นดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องบรรจุข้อมูล (Thumb Drive) และแผ่นบันทึกข้อมูลเสมอ ให้ปลอดจากไวรัสหรือมัลแวร์ต่างๆ กำหนดรหัสผ่านเข้าใช้งานพีซี และ ธัมป์ไดร์ฟ ล็อคหน้าจอทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน

2. ตั้งรหัสผ่านที่ยากแก่การคาดเดา อย่างน้อย 8 ตัวอักษร และมีอักขระพิเศษ คำที่ใช้เป็น password ไม่ควรตรงกับพจนานุกรม เลี่ยงภัยคุกคามที่เรียกว่า Brute force password จากผู้ไม่ประสงค์ดี

3. อย่าไว้วางใจเมื่อเห็นสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ให้บริการฟรี ไม่ว่าจะเป็นระบบไร้สาย มีสาย โปรแกรมต่างๆ ที่ให้ดาวน์โหลดฟรี เพราะมิจฉาชีพอาจให้โดยตั้งใจใช้ดักข้อมูลส่วนตัวของเรา นำไปใช้สร้างความเสียหายได้

4. อย่าไว้วางใจโปรแกรมประเภทที่มีชื่อดึงดูดใจให้ดาวน์โหลดฟรี เช่น คลิปฉาว โปรแกรม Crack Serial Number โปรแกรมเร่งความเร็ว เป็นต้น บ่อยครั้งที่มีของแถม เช่น มัลแวร์พ่วงมาด้วยเสมอ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพโดยไม่รู้ตัว

5. แง่บุคคล ควรหมั่นเก็บสำรองข้อมูลในสตอเรจ (Storage) ส่วนตัว อย่าให้สูญหาย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นสามารถหยิบมาใช้ได้ทันท่วงที ในองค์กรควรให้ความสำคัญทำแผนสำรองข้อมูลฉุกเฉิน ทั้งการทำ Business Continuity Plan (BCP) และ Disaster Recovery Plan (DRP)

6. ใช้ชีวิตไม่ยึดติดกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้าครอบงำชีวิตคนยุคใหม่มากขึ้นไม่ถลำลึกบนโลก-สังคมเสมือน ต้องป้องกันโดยการยับยั้งชั่งใจ และสร้างสมดุลให้กับชีวิต

7. ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต โดยตั้งสติและมองเหตุผลให้รอบด้าน เพื่อป้องกันตัวเองจากการล่อลวงผ่านทางอี-เมล เว็บไซต์

8. มีจริยธรรมในการใช้สื่ออินเตอร์เน็ต เอาใจเขามาใส่ใจเราทุกครั้ง เพื่อผลดีในระยะยาว ทั้งช่วยโอบอุ้มสังคมให้สงบสุข ปลอดภัยในการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
มติชน



เรื่องย่อละคร ใจร้าว

… ความรักของ "เขา" และ "เธอ"

… "พี่วิก" และ "น้องเอย"

… "คำมั่น" และ "สัญญา"

… "พี่วิกรักเอย" …

… "เอยรักพี่วิก"…

…แล้วทำไมทั้งสองหัวใจที่เปี่ยมด้วยรักมั่น…ถึงต้องจบลงด้วยความร้าวราน…

เรื่องย่อ

กรวิก (เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) ซูเปอร์สตาร์หนุ่มผู้เย่อหยิ่ง แข็งกร้าว ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมระดับเอเชีย.. ความสมบูรณ์แบบของเขาทำให้ถูกจับคู่กับเมลานี (วิกกี้-สุนิสา เจทท์) นักแสดงสาวดาวรุ่ง แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะในวันประกาศรางวัล กลับมีหญิงสาวนิรนามมาแสดงความยินดีกับกรวิกต่อหน้าแฟนคลับ และกองทัพนักข่าวนับร้อย แถมสาวเจ้ายังเป็นลมล้มลงจนกรวิกต้องอุ้มพาเธอหายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

ช็อตเด็ดชวนเป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ มีหรือเจษฎา (ดุ๊ก-ภานุเดช วัฒนสุชาติ) นักข่าวมือเก๋าวงการน้ำหมึกจะยอมปล่อยให้หลุดมือ เจษฎาตามเกาะติดรถของกรวิกไปจนถึงที่หมาย ภัทร (มอริส เค) ผู้จัดการส่วนตัวของกรวิกต้องลงมาเจรจา แต่เจษฎาก็ไม่ยอมลดราวาศอก ดันทุรังจนได้รัวชัตเตอร์ภาพในรถของกรวิก แต่อย่างว่าซูเปอร์สตาร์หนุ่มกับผู้จัดการตัวแม่ มีหรือจะปล่อยภาพไปได้ เจษฎาได้แต่ภาพความว่างเปล่าในรถ เพราะภัทรซ้อนแผนคิดแก้ทางเหล่าบรรดาปาปารัสซี่ตัวแสบอย่างเจษฎาด้วยการให้สองบอดี้การ์ดแวะเปลี่ยนรถระหว่างทาง กรวิกและหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาถึงหลุดรอดไปได้อย่างหวุดหวิด

กรวิกพาเธอไปที่บ้าน เขาวางเธอลงอย่างทะนุถนอม น้องเอย (แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ) หญิงสาวคนเดียวที่เคยเติมเต็มชีวิตของเขา ภาพความทรงจำวัยเยาว์ชัดเจนขึ้น น้องเอยคอยเช็ดตัวเมื่อยามป่วย น้องเอยคอยเป็นกำลังใจเวลาคิดถึงแม่ ความรัก ความอาทร ความห่วงหาอาลัยที่มีอยู่ล้นหัวใจกำลังทะลักทะลายออกมา แต่แว๊บนั้นภาพที่น้องเอยทิ้งเขาไปอย่างไร้เยื่อใยในวันที่เขาคิดจะขอเธอแต่งงานโดยไม่บอกลาเขาแม้แต่คำเดียว ความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยวทำให้เขากลายเป็นคนปิดตัว แข็งกระด้าง

เพลงใจร้าว เพลงประกอบละครใจร้าว

















และในนาทีนี้ที่เธออยู่ตรงหน้าเขา ความผิดหวัง ชอกช้ำแทรกซึมเข้ามาซ้ำอีก ทำไมเธอถึงทำกับเขาได้เพียงนี้ ความสับสนวิ่งวนในหัวสมองของกรวิก…และในนาทีนั้น น้องเอย ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับแววตาของความรัก แต่ก็ไม่สามารถตอบคำถามที่วนเวียนในสมองกรวิกมาตลอดแปดปีได้ว่า เอยทิ้งพี่วิกไปเพราะอะไร เขาทวงถามความยุติธรรม แต่เอยก็ไม่สามารถตอบคำถามใดๆ ได้

กรวิกระบายความรัก ความเสียใจออกมาเป็นความแค้น เอยสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของกรวิกเมื่อแปดปีที่แล้วกับกรวิกซูเปอร์สตาร์ผู้โด่งดังในวันนี้ เขาไล่เธออย่างไร้เยื่อใย เอยกลับไปด้วยความเศร้า แต่ก็ยังอยากจะทดแทนความรู้สึกผิดทั้งหมด

ภัทรและ ดวงแก้ว (ท๊อป-ดารณีนุช โพธิ์ปิติ) เจ้าแม่มายาต้นสังกัดกรวิก คิดทางออกของข่าวใหญ่ครั้งนี้ด้วยการให้กรวิกแถลงข่าวว่า น้องเอยเป็นเพียงแฟนคลับเท่านั้น คำพูดตามสคริปท์ของกรวิก ทำร้ายจิตใจน้องเอยเหลือเกิน แต่เธอก็ต้องก้มหน้ายอมรับกับความผิดที่เป็นฝ่ายทิ้งเขาไป น้องเอยขอชดใช้ทุกอย่างด้วยการอยู่รับใช้กรวิก 1 ปีเต็มในฐานะผู้จัดการส่วนตัว

กรวิกจิกใช้น้องเอยสารพัดวิธี แต่น้องเอยยินยอมทำทุกอย่างโดยไม่เปิดปากบอกว่า ความจริงที่เธอหนีหายไปจากชีวิตของเขาเพราะโรคร้ายของเธอ ลักษณ์ (น็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์) นายแพทย์หนุ่มคู่หมั้นที่เดินทางกลับมาพร้อมกัน และคอยยืนเคียงข้างน้องเอยมาตลอดเป็นห่วงและกังวลใจเหลือเกิน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและสัญญาที่น้องเอยให้ไว้กับเขาว่า ถ้าเธอชดใช้ให้กับกรวิกได้สำเร็จ เธอจะเลือกเขาเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเธอตลอดไป

แต่ไม่รู้ด้วยพรหมที่แกล้งลิขิตหรือฟ้าดลใจ ลักษณ์มักจะบังเอิญต้องได้พบปะเจอะเจอและปะทะฝีปากกับเมลานีครั้งแล้วครั้งเล่า เมลานีเองก็แสนจะเกลียดที่ต้องเจอกับเขา แต่ก็แอบตอบไม่ถูกกับความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ กรวิกทำทุกวิธีเพื่อทรมานทั้งร่างกายและจิตใจของเอย ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วอยากจะสวมกอดหญิงสาวด้วยความรักทั้งหมดที่มีอยู่จนล้นใจ แล้วยิ่งได้เห็นหมอลักษณ์มาคอยตามรับตามส่ง และเอาใจใส่น้องเอยมากเท่าไหร่ กรวิกก็ยิ่งสรรหาทุกวิถีทางถึงขนาดแกล้งทำเป็นรักเมลานีเพื่อทรมานใจเอย โดยไม่รู้เลยว่าเมลานีรักเขาเข้าจริงๆ ซะแล้ว มิหนำซ้ำยังทำให้ทอปัด (นาตาลี เดวิส) เด็กสาวที่แอบหลงรักกรวิก ทั้งๆ ที่เขารับอุปการะเธอในฐานะน้องสาว ขัดใจเอามากๆ



















หมอลักษณ์ใช้เวลาช่วงที่รอเอยชดใช้ความผิดกับกรวิก ด้วยการเข้าทำงานที่โรงพยาบาลของปราชญ์ (หมู-ดิลก ทองวัฒนา) ซึ่งมีปรัชญา (ลิฟท์-สุพจน์ จันทร์เจริญ) ลูกชายทำหน้าที่บริหารงาน แต่ปรัชญาก็ทำงานไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เจ้าชู้ แถมยังแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแสงฉาย (เมย์ เฟื่องอารมย์) อดีตภรรยาของหมอลักษณ์อีกต่างหาก

การดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษของปราชญ์ที่มีให้กับหมอลักษณ์ ทำให้ปรัชญาอิจฉาและค้นหาจนแอบรู้ความจริงจนได้ว่า ลักษณ์คือลูกชายแท้ๆ ของปราชญ์ ส่วนตัวปรัชญาเองกลับเป็นเพียงแค่ลูกติดท้องไม่ใช่ลูกแท้ๆ ความผิดหวังเสียใจ ผสมกับความเครียดแค้น ทำให้ปรัชญาคิดร่วมมือกับแสงฉายที่อยากจะแก้แค้นเรื่องน้องเอยแย่งหมอลักษณ์ สมรู้ร่วมคิดกันวางแผนกำจัดหมอลักษณ์

ความสัมพันธ์ของกรวิกกับเอยอยู่ในสายตาหาเรื่องสร้างข่าวของเจษฎาตลอดเวลา ในขณะที่ภัทรก็คอยกันเอาไว้ตลอดศกเหมือนกัน แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังแล้ว ดวงแก้วที่แสดงออกต่อหน้าใครต่อใครว่า คอยป้องกันกรวิกจากปาปารัสซี่หนักหนา กลับแอบลงทุนเปิดหนังสือปาปารัสซี่ให้เจษฎาออกหน้า และตามจิกข่าวกรวิกกับเอยให้ถึงที่สุด ข้างทอปัดก็ออกฤทธิ์ออกเดชมากขึ้นทุกวัน แถมยังบังเอิญได้รู้จักกับเจษฎาจนได้เสียกัน และตกเป็นเครื่องมือในการทำลายชื่อเสียงของกรวิกจนได้

เอยป่วยหนักจากการกลั่นแกล้งของกรวิกจนกระทั่งต้องเข้าโรงพยาบาล กรวิกแสดงออกว่าโกรธที่เอยหายไป แต่ภายในใจที่ร้อนระอุนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เที่ยวออกตามหาจนกระทั่งได้ข่าวว่าเอยป่วย เขาไม่สนใจความเป็นซูเปอร์สตาร์ของตัวเองออกตามหาที่โรงพยาบาลทุกแห่งแต่ก็ไม่เจอ เขาเสียใจ สำนึกผิด หมดหวังบวกกับเหล่าแฟนคลับที่ตื่นตาตื่นใจกับการปรากฏตัวของเขา ทำให้ต้องตัดสินใจกลับ แต่ในความชุลมุนนั้นกรวิกได้ยินประกาศขอบริจาคโลหิตให้ผู้ป่วยฉุกเฉิน กรวิกตัดสินใจขอบริจาคโลหิตโดยไม่รู้ว่าผู้ป่วยฉุกเฉินที่จะรับเลือดของเขาไปหล่อเลี้ยงหัวใจที่ขาดแคลนคนนั้นคือเอย

ลมหายใจต่อลมหายใจ เลือดจากหัวใจหนึ่งสู่อีกหัวใจหนึ่ง น้องเอยพ้นขีดอันตราย เพราะเลือดของพี่วิก ระหว่างพักฟื้นกรวิกก็ได้เจอกับหมอลักษณ์ที่มาขอบคุณผู้บริจาคโลหิตโดยไม่รู้ว่าเป็นใคร กรวิกคาดคั้นถามหาเอยหมอลักษณ์ไม่ยอมบอก กรวิกยิ่งเข้าใจผิด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว มีเพียงม่านกั้นผู้ป่วยเป็นกำแพงระหว่างเขาและเธอเท่านั้น

เอยกลับมาทำงานอีกครั้ง กรวิกยิ่งระบายความเจ็บช้ำและความเข้าใจผิดมากขึ้นทุกที อาการป่วยของเอยก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนหมอลักษณ์เป็นห่วงเอย ขอร้องให้หยุดทุกอย่างและกลับต่างประเทศกับเขา จากวันแรกจนถึงวันนี้เอยเริ่มคิดว่ากรวิกเกลียดเธอมากจริงๆ และเห็นว่ากรวิกก็มีเมลานีคอยดูแลอยู่แล้ว เอยตัดสินใจขอเป็นฝ่ายไป และวางแผนพากรวิกไปทานข้าวมื้อพิเศษ ย้อนเรื่องราวประทับใจของเขาและเธอให้ได้มากที่สุดก่อนจะจากเขาไป



















ความรัก ความผูกพัน ความทรงจำที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของทั้งสองคน ทำให้กรวิกเองก็เกือบจะเปิดเผยความจริงที่อยู่ในใจว่ารักและห่วงหาน้องเอยของพี่วิกมากเพียงใด เขาตัดสินใจว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า และดีกับเธอให้มากที่สุด แต่มันก็สายเกินไป เพราะวันรุ่งขึ้นเขาได้รู้ว่าเอยตัดสินใจบินกลับอเมริกา กรวิกเสียใจผิดหวังจนไม่สามารถที่จะทำใจได้ ทำไมเขาถึงต้องเสียเธอไปอีก ภาพที่เขาวิ่งตามหาเธอเมื่อหลายปีก่อนกำลังวิ่งวนเข้ามาทับถมให้หัวใจที่ร้าวรานเจ็บช้ำอีกครั้ง เขาจะไม่ยอมมันเกิดขึ้นอีก

กรวิกพุ่งตรงไปที่สนามบิน เสี้ยวนาทีต่อวินาที กรวิกวิ่งวนตามหาน้องเอยอย่างไร้ความหวัง ความอ้างว้าง เดียวดาย ทำให้น้ำตาของลูกผู้ชายอย่างเขาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่น่าเชื่อโชคชะตาของคนทั้งสองทำให้เอยปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา กรวิกไม่ยอมทิ้งโอกาสครั้งนี้พาน้องเอยและหัวใจกับความรักของเขาหนีขึ้นรถไปปล่อยให้หมอลักษณ์งงงวยกับการหายตัวไปของเอย

หมอลักษณ์จับต้นชนปลายเหตุการณ์ทั้งหมด ตัดสินใจไปตามหาเอยที่เพนท์เฮ้าท์ของกรวิกแต่ก็ไม่เจอ กลับพบแต่เมลานีที่มาตามหากรวิกเหมือนกัน ทำให้ทั้งสองคนเริ่มเข้าใจอะไรตรงกันแต่ต่างก็ไม่พูด แถมระหว่างที่พยายามออกตามหากรวิกและน้องเอยนั้น สองคนกลับยิ่งรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผ่านเหตุการณ์ที่หมอลักษณ์ถูกล้อมฆ่าจากพวกของปรัชญา

ระหว่างนั้นกรวิกตัดสินใจพาเอยไปซ่อนที่เกาะส่วนตัว และที่นั่นทำให้เอยรู้ว่าตลอดเวลาที่เธอจากไป เธอยังคงอยู่ในหัวใจของเขาเสมอ สองคนใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า หัวใจรักสองดวง ความโหยหา จะนำพาให้เรื่องราวความรักที่ร้าวรานของ "กริวก" และ "น้องเอย" กลับตาลปัตรลงเอยด้วยหัวใจที่ร้าวรานได้อย่างไร ติดตามชมได้ในละครที่จะทำให้คุณต้องสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของ…"ใจร้าว"… ทางไทยทีวีสีช่อง 3…


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaitv3.com/
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pantip.com

โวย sms นายกฯ ชวนร่วมแก้วิกฤต ละเมิดสิทธิ

แค่เริ่มอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการวันแรก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เจอเสียงสวดจากประชาชนกับผลงานส่อละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยผู้สื่อข่าวรายงานตลอดวันที่ 18 ธันวาคมได้เกิดปรากฏการณ์สร้างความประหลาดใจในหมู่ประชาชน เมื่อได้รับข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือเอสเอ็มเอส ใช้ชื่อผู้ส่งว่า your pm โดยมีเนื้อหาระบุว่า "ผมนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขอเชิญท่านร่วมนำประเทศไทยออกจากวิกฤติ สนใจได้รับการติดต่อจากผมกรุณาส่งรหัสไปรษณีย์ 5 หลักของท่านมาที่เบอร์ 9191 (3 บ.)"

ขณะเดียวกัน มีผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทรูหลายราย โทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนยังสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่า ได้รับข้อความสั้นดังกล่าว โดยผู้ใช้บริการรายหนึ่งสงสัยว่า อาจเป็นเล่ห์กลของแก๊งมิจฉาชีพ แต่ก็มีบางรายกล่าวว่าได้รับข้อความแล้วรู้สึกรำคาญ และถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วย ขณะที่บางรายตั้งข้อสังเกตว่า การส่งข้อความดังกล่าวเป็นการหาเงินเข้ากระเป๋าใครหรือไม่ เพราะเมื่อเจ้าของเบอร์ส่งรหัสไปรษณีย์กลับไปตามหมายเลข 9191 ปรากฏว่าถูกหักเงินค่าใช้บริการครั้งละ 3 บาท แต่ถ้าเป็นคำเชิญชวนของรัฐบาลที่ต้องการความร่วมมือจากประชาชนจริงๆ ก็น่าจะให้บริการฟรี

ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อกลับไปยังคอลเซ็นเตอร์ของค่ายมือถือทรู สอบถามถึงรายละเอียดของการส่งข้อความปริศนาดังกล่าว ซึ่งพนักงานรับโทรศัพท์ให้รายละเอียดว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อความที่ทางทรูได้ส่งไปให้ ผู้ใช้บริการมือถือของบริษัทฯ ทุกรายจริง เพราะได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ดำเนินการ ส่วนเหตุผลเรื่องการหักค่าบริการ เป็นระเบียบปฏิบัติตามปกติ และต้องขออภัยหากเป็นการสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้ใช้บริการ

จากนั้น ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามไปยังทีมงานของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้รับคำตอบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ประสานผ่านนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค เพื่อต้องการส่งข้อความถึงประชาชนบอกเจตนารมณ์ในความตั้งใจที่จะทำงาน โดยจะมีการส่งข้อความดังกล่าวถึงประชาชนผ่าน 3 เครือข่ายหลัก คือ ทรู เอไอเอส และดีแทค ซึ่งนายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้ประเมินผลการตอบรับอีกครั้ง ว่าจะส่งข้อความต่อไปอีกหรือไม่ สาเหตุที่ต้องให้ประชาชนส่งรหัสไปรษณีย์ 5 หลัก มาที่เบอร์ 9191 เพื่อต้องการทราบว่ามีประชาชนส่วนใดบ้างที่ต้องการร่วมแก้วิกฤติ และจะได้เก็บเข้าสู่ฐานข้อมูลด้วย

เมื่อสอบถามไปยัง นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (คบท.) ถึงเรื่องเอสเอ็มเอสดังกล่าว ก็ได้รับการเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าผิดฐานละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่นั้น แต่การสื่อสารโทรคมนาคม หรือการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นการสื่อสารแบบ 1 ต่อ 1 เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ถ้าข้อความนั้นผู้รับไม่พึงประสงค์ ก็คิดว่าละเมิดสิทธิ แต่ถ้าพอใจในการรับข้อความนั้น ก็ไม่ถือว่าละเมิดสิทธิ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของบุคคลที่เป็น ผู้รับข้อความนั้นมากกว่า

"ถ้าใครรู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก็ทำเรื่องร้องเรียนมายัง คบท. เพราะที่ผ่านมาผู้ใช้บริการโทรศัพท์ มือถือได้ร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก กรณีที่มีการส่งเอสเอ็มเอส ได้แก่ ดูดวง ขายประกัน บัตรเครดิต รายการดูหนังฟังเพลง เป็นต้น ซึ่ง คบท.กำลังตรวจสอบอยู่ว่าเหมาะสมหรือไม่" ผอ.คบท.กล่าว

ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กรรมการ คบท. กล่าวเสริม ว่า คบท.ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดพรรคประชาธิปัตย์จึงเลือกใช้การสื่อสารด้วยเอสเอ็มเอสจากโทรศัพท์มือถือเพราะเป็นการสื่อสารส่วนบุคคล เจ้าของจึงควรเป็นผู้มีสิทธิ เลือกใช้ ไม่ควรถูกรุกล้ำในลักษณะมัดมือชก เอสเอ็มเอสเหมือนการเคาะประตูบ้าน บุกถึงตัวผู้รับ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหากเจ้าของมิได้ให้ความยินยอม ทั้งนี้ ตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ข้อ 12 ระบุว่า ผู้ให้บริการจะนำข้อมูลที่ได้จากการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการนั้น ไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นโดยมิได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากผู้ใช้บริการมิได้ เว้นแต่เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมาย

กรรมการ คบท. กล่าวอีกว่า วิธีที่เปิดให้กดรับข้อความ เสียงยังก่อให้เกิดภาระกับประชาชน ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อฟังเสียงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จึงเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรใช้ช่องทางอื่นที่ไม่สร้างภาระและไม่เป็นการละเมิดสิทธิประชาชน ที่ผ่านมา คบท.ได้รับการร้องเรียนเรื่องเอสเอ็มเอสรบกวนเข้ามามาก อยากให้รัฐบาลพิจารณาเลือกใช้ช่องทางอื่นสื่อสารกับประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีอยู่มากมาย ไม่อยากให้รัฐบาลใหม่กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของประชาชนเสียเอง

ต่อมาในช่วงเย็น นายกรณ์ จาติกวณิช ว่าที่ รมว. คลัง กล่าวถึงเรื่องเอสเอ็มเอสในครั้งนี้ว่า ทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์ในการสื่อสารระหว่างประชาชนกับรัฐบาล โดยเป็นการขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายแล้วเห็นว่าไม่ผิดกฎหมาย และไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งนี้ ทางพรรคต้องขออภัยผู้ที่อาจจะไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ และทำให้เกิดความรำคาญ แต่อยากให้เปิดใจกว้างร่วมรับฟังนโยบายของพรรค ยืนยันว่าไม่ใช่ การบังคับประชาชนให้เสียเงิน เพราะเมื่อได้รับแล้วก็เป็นสิทธิของประชาชนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วยก็ส่งข้อความตอบรับ ก็เสียเงิน 3 บาท เชื่อว่าแนวทางนี้จะเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่ม มากกว่าโทรทัศน์ หนังสือ พิมพ์ อินเตอร์เน็ต เพราะมีผู้ลงทะเบียนอยู่กว่า 50 ล้าน หมายเลข จึงเชื่อว่าช่องทางนี้จะเข้าถึงประชาชน เพื่อที่จะพัฒนาประเทศต่อไป


นายกรณ์ กล่าวต่อว่า การแก้วิกฤติเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ เพราะไม่เหมือนวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะขณะนี้ได้เกิดความแตกแยกในสังคม ช่องทางนี้จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ทำให้นายกฯใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น และยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงกิจการของบริษัทเอกชน เพราะการหารือกับผู้ประกอบการได้พูดคุยกับระดับแกนนำ ที่มีอำนาจในการตัดสินใจด้วยความรอบคอบและถูกต้องที่สุด ซึ่งต่างประเทศก็ใช้วิธีการนี้ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นการขอโอกาสให้ประชาชนได้เสนอความเห็นเข้ามา ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ระบุว่าจะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนถึงขณะนี้ก็มีประชาชนตอบรับมาเป็นจำนวนมาก



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ไทยรัฐ

แนะวิธีสังเกต ธนบัตรปลอม
















หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาประกาศเตือนให้ชาวบ้านระวังธนบัตรปลอมระบาดหนัก เนื่องจากสภาวะเศษฐกิจทรุด ความคืบหน้า ที่สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ (สนว.ตร.) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมนี้ พล.ต.ท.ดนัยธร วงศ์ไทย ผู้บัญชาการ สนว.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน (ผบก.พฐ.) และ พ.ต.อ.เสรีย์ จันทรประทิน นักวิทยาศาสตร์ (สบ.5) พฐ. ร่วมแถลงข่าว กรณีธนาคารแห่งประเทศไทยเตือนประชาชนระมัดระวังธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาทปลอม โดยเฉพาะช่วงปีใหม่

พล.ต.ท.ดนัยธรกล่าวว่า ในช่วงนี้มีข่าวแบงก์พันปลอมระบาดมากพอสมควร ซึ่งเป็นความจริง เพราะขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐานรับคดีแบงก์ปลอมอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นห่วงว่าจะทำให้เกิดความสับสนต่อประชาชนผู้ใช้ ซึ่งขั้นตอนการตรวจพิสูจน์อย่างง่ายๆ สำหรับประชาชนที่จะสังเกตว่าแบงก์ปลอมหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ไว้

พ.ต.อ.เสรีย์ จันทรประทิน อธิบายขั้นตอนการสังเกตธนบัตรว่า มีจุดสังเกตดังนี้

1. ลายน้ำ พระบรมสาทิสลักษณ์ มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง และรูปลายไทยจะโปร่งแสงเป็นพิเศษ

2. แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ นำเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขและตัวอักษรโปร่งแสง

3. พิมพ์เส้นนูน พระบรมสาทิสลักษณ์ ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด

4. ตัวเลขแฝง ซึ่งอยู่ในลายไทย มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่าง โดยมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร

5. ภาพซ้อนทับพิมพ์แยกส่วนไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อยกส่องกับแสงจะมองเห็นภาพสวยงาม โดยแบงก์พันจะเป็นรูปดอกบัว แบงก์ 500 เป็นรูปดอกพุดตาล แบงก์ 100 เป็นตัวเลข 100 แบงก์ 50 เป็นตัวเลข 50 แบงก์ 20 เป็นตัวเลข 20

6. ตัวเลขจิ๋ว บรรจุในตัวเลขไทยด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจนด้วยแว่นขยาย

7. แทบฟอยล์ สีเงินมองเห็นเป็นหลายมิติ และสะท้อนแสงเมื่อพลิกไปมา

8. หมึกพิมพ์พิเศษ ตัวเลข 1000 จะมองเห็น ด้านบนสีทอง ด้านล่างสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างขึ้นจะเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด ส่วนแบงก์ 500 ตัวเลข 500 จะมองเห็นตัวเลขสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างจะมองเห็นเป็นสีม่วง นอกจากนี้ ยังมีวิธีนำบริเวณลอยนูนของแบงก์ เช่น คำว่ารัฐบาลไทย ถูกับกระดาษสีขาว ของจริงจะปรากฏสีให้เห็น

พ.ต.อ.เสรีย์กล่าวว่า เป็นข้อสังเกตง่ายๆ ที่ประชาชนทั่วไปจะดูได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องใช้เวลาดูด้วยใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน ถ้าไม่แน่ใจในธนบัตรที่สงสัย ให้เอาธนบัตรที่แน่ใจว่าเป็นของจริงมาเทียบ

"อย่าผลีผลามรับเงินโดยไม่ดูก่อน เวลาจะรับเงินพยายามอยู่ในที่ที่มีแสงสว่าง เพราะส่วนใหญ่มีการใช้แบงก์ปลอมในที่มืด เช่น คลับ บาร์ ส่วนข้อที่สังเกตง่ายที่สุดคือลายน้ำ ของปลอมทำยาก จะออกมืดไม่ชัด ถ้าของจริงจะเห็นส่วนสว่างชัดเจน ทั้งนี้ ที่มาของธนบัตรปลอม เราไม่มีข้อมูล แต่มากที่สุดคือพื้นที่ สภ.อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร จำนวน 758 ฉบับ" พ.ต.อ.เสรีย์ระบุ

ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า ในปี 2551 มีการส่งธนบัตรปลอมใบละ 1000 จากทั่วประเทศมาให้ พฐ.ตรวจสอบจำนวน 30 คดี เกือบ 1,000 ฉบับ ทั้งนี้ ธนบัตรปลอมที่ผ่านการตรวจจาก พฐ.แล้ว จะต้องส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบอีกครั้งก่อนทำลายทิ้ง

วันเดียวกัน พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 นำตัว นายวัชรินทร์ ประศรี อายุ 68 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนดอนปอ จ.นครพนม นายแหลมทอง ปัตาถาวะโร อายุ 60 ปี น.ส.วิไล สีจันทร์ อายุ 56 ปี และนายอดุลย์ หวังเกิดกลาง อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันผลิตธนบัตรปลอมไปแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลัง พ.ต.อ.เพชรัตน์ แสงไชย รอง ผบก.หน.ศสส.ภ.1 กับพวกประสานตำรวจกลุ่มงานสืบสวน ภ.จ.สกลนคร ขยายผลล่อซื้อธนบัตรใบละ 1000 บาท จำนวน 203 ฉบับ เป็นเงิน 203,000 บาทพร้อมของกลาง กัญชาอัดแท่ง 3 กก. ธนบัตรลาวปลอมฉบับละ 50,000 กีบ อีก 635 ฉบับ เป็นเงิน 31,750,000 กีบ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ข้อหา ร่วมกันปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา หรือธนบัตรปลอม ร่วมกันมีและนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมอันตนได้มา โดยรู้ว่าเป็นของปลอม และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย


ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คุณมีเชาว์ปัญญามากแค่ไหนน๊า

( พยายามอย่าแค่คิดไว้แล้วจำไปดูคำตอบ เพราะอาจเบี่ยงเบนได้นะ)
ถ้าตอบถูกหมดยอดคนเก่ง อย่าโกงนะ ทดสอบดูมี 10 คำ

ถามนะ...ลองตอบดูภายใน 10 นาที

1. บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน มีกี่เดือนที่มี 28 วัน
2. ถ้าคุณหมอให้ยามา 3 เม็ด แล้วบอกให้คุณกินยาทุกๆครึ่งชั่วโมงคุณต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะกินยาหมด
3. ถ้าเข้านอนตอน 2 ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน 9 โมงเช้า ถามว่าจะได้นอนกี่ชั่วโมงก่อน ที่นาฬิกาปลุกจะดัง
4. เอา 30 หารครึ่ง แล้วบวก 10 จะได้คำตอบเท่าไหร่
5. ชาวนามีแกะ 17 ตัว ทุกตัวยกเว้น 9 ตัวตายหมดถามว่ายังมีแกะที่มีชีวิตเหลืออยู่กี่ตัว
6. ถ้าคุณมีไม้ขีดไฟเหลือเพียงก้านเดียวแล้วต้องเข้าไปในห้องที่ทั้งหนาว ทั้งมืด ในห้องนั้นมี
ฮีตเตอร์น้ำมัน ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไขคุณจะเลือกจุดอะไร
7. ชายคน หนึ่งสร้างบ้านด้วยไม้ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง 4 ด้านและหันบ้านไปทางทิศใต้ ถ้ามีหมี
ผ่านมาถามว่าหมีตัวนั้นจะมีสีอะไร
8. หยิบแอปเปิ้ล 2 ลูกออกจากแอปเปิ้ล 3 ลูกถามว่าคุณจะได้อะไร
9. โมเสสเอาสัตว์ขึ้นเรือตอนวันสิ้นโลกไปชนิดละกี่ตัว
10. ถ้าคุณขับรถซึ่งบรรทุกคน 43 คนจากชิคาโกไปพิสเบอร์ก แล้วหยุดรับอีก 7 คนขึ้นมา แล้วหยุดจอดให้คนลงที่เคลเวอร์แลนด์ 5 คน จนมาถึงฟิลาเดอเฟียในอีก 20 ชั่วโมงต่อมา ถามว่าคนขับรถชื่ออะไร


















































*******************************************************************************



------------------------------------------





เฉลย
1.12 เดือน พราะทุกเดือนก็มีอย่างน้อย 28 วันอยู่แล้ว
2.1 ชั่วโมง เพราะถ้าคุณกินยาตอนบ่ายโมง เม็ดที่ 2 ก็จะกินตอนบ่ายโมงครึ่ง และเม็ดที่ 3 ก็จะกิน ตอนบ่าย 2
3.1 ชั่วโมง เพราะตั้งนาฬิกาปลุกตอน 9 โมงเข้านอนตอน 2 ทุ่ม นาฬิกาจะดังตอน 3 ทุ่ม
4.70
5.9 ตัว
6. จุดไม้ขีดไฟก่อน
7. สีขาว เพราะถ้าบ้านหันไปทางทิศใต้ แสดงว่าบ้านต้องอยู่ทิศเหนือหรือขั้วโลกเหนือ
8. ได้แอปเปิ้ล 2 ลูก
9. ไม่ได้เอาไปเลย เพราะคนที่เอาสัตว์ขึ้นเรือไม่ใช่โมเสสแต่เป็นโนอาร์
10. ชื่อของคุณนั่นแหละ ก็คุณเป็นคนขับรถนี่








ถ้าตอบถูก......
10 ข้อ คุณเป็น...อัจฉริยะ
9 ข้อ คุณเป็น...สมาชิกของเมนซาณ
8 ข้อ คุณเป็น...วิศวกร
7 ข้อ คุณเป็น...นักศึกษามหาวิทยาลัย
6 ข้อ คุณเป็น...นักเรียนมัธยมปลาย
5 ข้อ คุณเป็น...นักเรียนประถม
4 ข้อ คุณเป็น...ครูสอนนักเรียนมัธยม
3 ข้อ คุณเป็น...ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย
2 ข้อ คุณเป็น...นักสืบ FBI
1 ข้อ คุณเป็น...สมาชิกสภาคองเกรส
0 ข้อ คุณเป็น...เป็นเรื่องธรรมดา


เครดิต เด็กดี

จงแสดงวิธีทำธุรกิจที่จะทำให้เงิน 30,000 บาท เพิ่มเป็น 1 ล้านบาทในเวลา 1 ปี

จงแสดงวิธีทำธุรกิจ (ถูกกฏหมาย) ที่จะทำให้เงิน 30000 บาท เพิ่มเป็น 1 ล้านบาทในเวลา 1 ปี

วิธีทำ

1) เอาเงิน 30000 บาทไปซื้อที่ดินเปล่า 1 ไร่

2) ขุดดินในพื้นที่ 1 ไร่นั้นเอาไปขาย โดยขุดลึก 5 เมตร โดยดำเนินการจ้างผู้รับเหมาวิ่งดินเข้ามาลงรถขุดและวิ่งส่งดินไปถม เราเป็นเจ้าของบ่อขายดินอย่างเดียว

คิดปริมาณดินที่พื้นที่ 1 ไร่มี = 1600 ตรม x ลึก 5 ม. = 8000 ลบม
(ปริมาณดินนี้ประเมินคร่าว ๆ ซึ่งความจริงจะได้น้อยกว่านี้เล็กน้อย เพราะต้องขุดตี slope ขอบบ่อให้เอียงไม่เช่นนั้นบ่อจะถล่ม)

3) รถสิบล้อมีปริมาตรบรรทุกดิน กว้าง x ยาว x สูง = 3 x 6 x 2 = 36 ลบม เราขายดินคันละ 300 บาท

4) เราจะขายดินได้ = (8000/36) x 300 = 66667 บาท คิดเป็นเลขกลม ๆ 60000 บาท เพราะชดเชย 6667 หายไปตรงดินที่ขุดไม่ได้ตรงบริเวณพื้นที่ขอบในข้อ 2)

5) คิดระยะเวลาขุดดิน 1 ไร่ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ ดังนั้น 1 อาทิตย์ จ่ายไป 30000 จะได้เงินกลับมา 60000 บาท

6) ย้อนกลับไปทำข้อ 1) ใหม่ เอาเงิน 60000 บาท ซื้อที่ 2 ไร่และขายดิน

ซื้อครั้งที่ 1 จำนวน 1 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 60000

ซื้อครั้งที่ 2 จำนวน 2 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 120000

ซื้อครั้งที่ 3 จำนวน 4 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 240000

ซื้อครั้งที่ 4 จำนวน 8 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 480000

ซื้อครั้งที่ 5 จำนวน 16 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 960000

ซื้อครั้งที่ 6 จำนวน 32 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 1920000

จำนวนไร่ทั้งหมดที่ซื้อ = 1+2+4+8+16+32 = 63 ไร่
ถ้าผู้รับเหมามีรถขุด 1 คัน ขุดได้อาทิตย์ละ 1 ไร่ (ซึ่งนับว่าช้ามาก) จะใช้เวลา 63/4 ประมาณ 16 เดือน

สรุป เริ่มต้นใช้เงิน 30000 บาท ใช้เวลา 16 เดือน ได้เงินกลับมา 1.92 ล้าน กับที่ดินเปล่า 63 ไร่ที่เป็นบ่อ ซึ่งสามารถต่อยอดโดยการทำบ่อนั้นเป็นบึงตกปลาหรือสร้างรีสอร์ทได้

โดย วิบูลย์ จุง : Wiboon Joong (wbj)

เรื่องหุ้น เงิน น่ารู้ http://learningforex-non.blogspot.com/2008/06/forex-learn-trading-article.html

Scientists seek ways to ward off killer asteroids

Scientists seek ways to ward off killer asteroids




By Robert S. Boyd, McClatchy Newspapers – Wed Dec 17, 11:55 am ET



WASHINGTON — A blue-ribbon panel of scientists is trying to determine the best way to detect and ward off any wandering space rocks that might be on a collision course with Earth.

``We're looking for the killer asteroid,'' James Heasley , of the University of Hawaii's Institute for Astronomy , last week told the committee that the National Academy of Sciences created at Congress' request.

Congress asked the academy to conduct the study after astronomers were unable to eliminate an extremely slight chance that an asteroid called Apophis will slam into Earth with devastating effect in 2036.

Apophis was discovered in 2004 about 17 million miles from Earth on a course that would overlap our planet's orbit in 2029 and return seven years later. Observers said that the asteroid — a massive boulder left over from the birth of the solar system — is about 1,000 feet wide and weighs at least 50 million tons.

After further observations, astronomers reported that the asteroid would skim by Earth harmlessly in 2029, but it has a one in 44,000 probability of slamming into our planet on Easter Sunday , April 13, 2036 .

Small changes in Apophis' path that could make the difference between a hit or a miss are possible, according to Jon Giorgini , a planetary analyst in NASA's Jet Propulsion Laboratory in Pasadena, Calif.

``We have not eliminated the threat in 2036,'' Lindley Johnson , the manager of NASA's asteroid detection program, told the committee.

The academy panel is headed by Irwin Shapiro , a former director of the Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics in Cambridge, Mass. It has a two-part assignment from Congress : Detect and deflect asteroids that might hit earth.

First, the Shapiro committee is supposed to propose the best way to detect and analyze 90 percent of the so-called ``near Earth objects'' orbiting between Mars and Venus that are wider than 460 feet by 2020.

About 20 percent of these are identified as potentially hazardous objects because they might pass within 5 million miles of Earth (20 times the distance to the Moon).

More than 5,000 near Earth objects, including 789 potentially hazardous objects, have been identified so far. Johnson predicted that future surveys will find at least 66,000 near Earth objects and 18,000 potentially hazardous objects.

A collision with one or more of these many objects littering the solar system is inevitable, Johnson said. ``Once every hundred years there might be something to worry about, but it could happen tomorrow.''

For example, astronomers had only 24 hours' notice of a small asteroid that blew up over northern Africa on Oct. 7 . A larger, more dangerous object presumably would be spotted years or decades ahead, giving humans time to change its course before it hit.

The Shapiro panel's second task is to review various methods that have been proposed to deflect or destroy an incoming asteroid and recommend the best options. They include a nuclear bomb, conventional explosives or a spacecraft that would push or pull the asteroid off its course.

Offbeat ideas are painting the surface of the asteroid so that the sun's rays would heat it differently and alter its direction, and a ``gravity tractor, ''a satellite that would fly close to the asteroid, gently nudging it aside.

The earlier that a dangerous asteroid is found, and the farther it is from Earth, the easier it will be to change its trajectory, panel members were told. A relatively small force would be enough while the object is millions of miles away.

The year 2029 could be crucial. When Apophis makes its first pass by Earth, its track can be more precisely determined. That will enable astronomers to judge whether Earth will escape with a near miss or will have to take swift action to avoid a blow that could devastate a region as large as Europe or the Eastern United States .

To deflect an asteroid, scientists need to know its shape, weight and composition. A ball of loose rubble would be handled differently from a solid metallic rock.

``Finding them is one thing, but you have to know your enemy,'' said James Green , the director of NASA's Planetary Science Division.

So far, NASA has spent $41 million on asteroid detection and deflection, but the Near Earth Object Program is running out of money.

``It's just barely hanging on,'' Shapiro said.

Two expensive telescopes to focus on dangerous asteroids have been proposed, but Congress and the incoming Obama administration must be persuaded to approve the money.

``Without new telescopes, we'd never get to 90 percent (detection),'' Johnson said.

After a lot of original skepticism, Congress now looks favorably on the asteroid project, according to Richard Obermann , the staff director of the House Subcommittee on Space and Aeronautics.

``There used to be a high giggle factor among members,'' Obermann said. ``But it's now a very respectable area of investigation.''

Johnson told the Shapiro committee that the search for killer asteroids must have a high priority.

``The space program could provide humanity few greater legacies than to know the time and place of any cosmic destruction to allow ample time to prepare our response to that inevitable event,'' he said.

ON THE WEB

NASA's Near Earth Object Program

Near Earth Environment animation 2007-08

MORE FROM MCCLATCHY

Evidence found of solar system around nearby star

Arctic temperatures hit record high

Will new Mars lander be parked or scrapped?

Article by http://news.yahoo.com/s/mcclatchy/20081217/sc_mcclatchy/3125382

กฏของหนังจีน(116 ข้อ สุดฮา)


1. ถ้าคุณเป็นพระเอก แม้ ไม่เคยมีงานทำแต่มีเงินใช้ตลอดเรื่อง
2. ไม่ว่าหน้าผาจะสูงซักแค่ไหน ถ้าคุณเป็นพระเอกตกยังไงก็ไม่ตาย
3. หลังตกจากหน้าผา คุณไม่เจอคนใจบุญ (พวกผู้หญิงช่วยเอาไว้) คุณก็ต้องเจอสุดยอดคัมภีร์
4. ใครก็ตามที่อ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะคนนั้นมักจะเป็นคนเลว
5. คนบ้าๆ โทรมๆ มักจะมีวรยุทธสูง พอๆ กับความบ้าของมัน
6. เวลาคุณ ได้เปรียบศัตรู มักจะใจดีปล่อยศัตรู ทั้งๆ ที่ปกติก็หาโอกาสยากอยู่แล้ว
7. เวลานางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย คนในเรื่องจะดูไม่ออก แม้คนทั้งโลกจะดูออกก็ตามโดยเฉพาะ พระเอกจะโง่กว่าใครเพื่อน
8. เวลาพระเอกหนาว หรือ ไอเย็นเข้าแทรก นางเอกมักจะเป็นคนห่มผ้าให้หรือไม่ก็เอาตัวห่ม
9. เวลาโดนฝ่ามือซัด ต้องรักษาด้วยลมปราณ
9.1 ถ้าเป็นผู้ชาย กับ ผู้หญิง จะต้องถอดเสื้อผ้าเดินลมปราณ
9.2 ถ้าเป็นผู้ชาย กับผู้ชาย ไม่ต้องถอดเสื้อหรอกโว้ย (ทำไมวะ)
10. ตัวละครที่อารมณ์ดีที่สุด คือ ตัวโกง เพราะหัวเราะร่วนทั้งเรื่องโดยเฉพาะก่อนลงมือฆ่า แต่ก็เพราะมันมัวแต่หัวเราะ พระเอกมักฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
11. ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บรูปแบบไหน โดนฟันแขนหรือขา เลือดก็จะต้องออกทางปาก
12. ตัวประกอบตายเร็วเสมอ ตัวสำคัญจะใช้ เวลาสั่งเสียยาวนานจนคุณเปลี่ยนวีดีโอม้วนใหม่
13. ก่อนจะเงื้อดาบ ต้องข่มขวัญกันก่อนเสมอ เช่น "ดาบข้าตีด้วยเหล็กเย็นใช้เวลาเจ็ดปี อาบเลือดมาแล้วกว่าร้อยศพ" ฯลฯ
14. ถ้าฝ่าย อธรรม มีคนมากกว่าฝ่ายธรรมะ เรียกว่า หมาหมู่ ถ้าฝ่ายธรรมะมากกว่าเรียกว่า สามัคคี รวมใจปราบมาร
15. นางเอกมักเป็นลูกตัวโกง หรือไม่ก็อยู่พรรคมาร ต้องโดนเรียกจิกหัวว่า นางมาร
16. นางมาร ตัวจริง ต้องชุดแดง สวย เซ็กซี่
17. การกินมูมมาม เสียงดัง เลอะเทอะ แสดงว่า อาหารอร่อย กรอกเหล้าเข้าปากต้องให้ หกๆ แสดงว่าดื่มเก่ง
18. เวลาแอบดู คุณต้องเอานิ้วจิ้มน้ำลาย เพื่อเจาะประตูให้เป็นรูก่อนนะ ขอแนะนำชุดดำ โพกหน้า โพกหัวด้วย แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิง จะโดนจับได้ก่อนเสมอ
19. ถ้าจะส่งสารท้าประลอง ต้องเอาเลือดเขียน (เสือกเขียนสวยด้วยนะ) หมึกมีอย่าเสือกไปใช้เชียว
20. พิราบสื่อสาร โดนฝ่ายตรงข้ามจับได้ก่อนประจำ
21. หมอเทวดา มักเปิดคลีนิคอยู่ในป่า ขุนเขาลึกลับ ถ้าไม่เก่งจริงอย่าไป ตายอยู่ตีนเขา เพราะอันตรายมาก หมอพวกนี้ไม่นิยมคิดตังค์ซะด้วยสิ
22. ถ้าบาดเจ็บ เป็นโรคตอนหน้าร้อน ต้องระวังให้มาก เพราะสมุนไพรเจ๋งๆ ส่วนใหญ่ต้องอยู่ บนหุบเขาที่มีหิมะ หายากๆ
23. วัดร้าง ต้องมีวัดร้างเสมอ วัดร้างจะต้องรกๆ มีฟางเยอะๆ และตอนอยู่ในวัดร้างศัตรูก็จะตามมาพอดี แล้วพระเอกนางเอกก็จะหลบอยู่หลัง พระพุทธรูปคอยเงี่ยหูฟัง ตัวร้ายคุยกัน
24. ถ้ำจะอยู่ลึกลับมาก จะไม่มีวันได้เจอ จนกว่า จะโดนซัดฝ่ามือตกลงมา ในนั้นนอกจากคัมภีร์ สุดยอดวิชา จะมีกระดูก ไม่รูปปั้น ก็ก็คำกลอน สารภาพรัก ไม่ก็บรรยายความเศร้า ชีวิตที่ผ่านมา พระเอกอ่านเจอ ก็จะรู้ว่าท่านผู้นี้คือสุดยอดฝีมือ ที่ห่างหายจะยุทธภพไปนานอย่างไร้ร่องรอย
25. คนที่รู้ความลับ มักตายก่อน ก่อนตายจะ บอกความลับให้นางเอกรู้ แต่ก็จะพร่ำพรรณา จนตายไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอก
26. ชุดไม่เคยเปลี่ยน ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง
27. เจ้าของโรงเตี๊ยม มาดนอบน้อมใจดี มักเป็น ฝ่ายผู้ร้าย แอบส่งข่าวให้ตัวร้ายรู้
28. ชอบเกิดผิดใจกันในโรงเตี๊ยม มี 2 กรณี ไม่เป็นเพื่อนรักกันไปเลย ก็เป็น ศัตรูคู่อาฆาต
29. ชอบสั่งหมี่เปล่าๆ มากิน อร่อยตรงไหน?
30. ขณะที่นั่งเขียนหนังสือ อัตราการถูกซัดลูกดอก อาบยาพิษ สูงมาก
31. สารท้าจากพรรคมารจะมาในรูปแบบของลูกดอก ปักที่ต้นไม้พร้อมจดหมาย
32. ถ้าไม่อยากโดนลูกหลงจงอย่าไปนั่งในโรงเตี๊ยมเด็ดขาด เพราะมันจะต้องมีเรื่องกันกลางโรงเตี๊ยม และจับโยนลงมาจากชั้นลอยเพื่อให้อีกฝ่ายตกลงมาฟาดโต๊ะให้หักเป็น 2 ท่อน
33. ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะก็ตาม. . แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องในโรงเตี๊ยมมักไม่เกรงใจผู้อื่น โดยเฉพาะเจ้าของ โรงเตี๊ยมที่ต้องรับกรรม เพราะหลังจากโรงเตี๊ยมพังพินาศแล้ว ทั้งพระเอกและตัวร้ายก็จะสะบัดตูด จากไปอย่างไม่อายฟ้าดินแถวไห
34. ไม่มีคำว่า "ให้อภัย" มากไปกว่า "ล้างแค้นแทนพ่อ" ก็จะไม่ให้มันแค้นคั่งได้ยังไง ในเมื่อผู้เป็นพ่อ ได้สั่งเสียไว้ก่อนตายว่า "ล้างแค้นแทนตูด้วย . . แหง็ก"
35. ถ้าเรื่องไหนกล่าวถึงฮ่องเต้ มักจะต้องกล่าวถึงแม่ฮ่องเต้อยู่เสมอ
และ ยัยแก่คนนี้แหละที่จะเป็น คนเดียวที่ฮ่องเต้เกรงใจนอกไปจากขุนนางสอพลอที่ฉายแววร้ายและสารเลวให้ทุกคน ในโลกได้รู้ ยกเว้นฮ่องเต้. . .
36. ไปสำนักบู๊ตึง ต้องผ่านเหวทิ้งกระบี่สำหรับทิ้งอาวุธ แต่พอขึ้นไปบนสำนัก ฟันกันไม่ยั้งทั้งกระบี่ ดาบ หอก (ทางสำนักมีให้เช่า ก็ไม่บอก)
37. สำนักนางโลม สาวสวยๆ มักไม่ขายบริการ แต่ขายเสียงเพลง วาดรูปอย่างเดียว (สงสัยจะรอพระเอก) แต่คนเที่ยวตรึม
38. ถ้าเห็นคนผ่าฟืน ตักน้ำ หรือหาปลา พึงสังวรณ์ไว้ว่า มันมีฝีมือทั้งนั้น อย่าประมาท
39. ต้องมีสถานที่ประหลาดๆ เช่น หุบเขาแม่ม่าย เกาะดอกท้อ หมูบ้านเศร้าซึม อะไรเทือกนั้นน่ะ
40. ฮองเฮาในเรื่องจะร้ายเสมอ
41. พวกขุนนางโฉดมักจะเป็นพ่อตาฮ่องเต้
42. มักมีห้องลับ ประตูกล ทะลุไปยังที่เก็บคัมภีร์ ไม่ก็ ที่ๆ สลักกระบวนท่าวิทยายุทธเอาไว้ หรือไม่ ก็เป็นทางออก ทำให้หนีจากศัตรูได้
43. พระเอกนางเอกมักครอบครัวไม่สมบูรณ์
44. ต้องมีซักคนจากไปพร้อมทิ้งจดหมายเอาไว้
45. เมื่อโดนไล่เข้าตาจน ข้างหลังเป็นหน้าผาเบื้อง ล่างเป็นน้ำทะเล อย่ากลัว ให้กระโดดลงไป เพราะไม่มีทางจะตาย ต้องไปติดเกาะอะไรซัก อย่างเสมอ
46. ลูกสาวพวกเจ้าสำนัก หรือลัทธิอะไรต่างๆ ชอบมาปิ๊งพระเอก
47. พวกเก่งๆ จะขี้เกียจชอบเบ่งสร้างความลำบากให้ผู้อื่นเช่นชอบนั่งเกี้ยวให้คนเยอะๆ แบกแต่ถ้ามีอะไร จะตามใครหรือโดนใครฆ่า จะเหาะออกมาจากเกี้ยวถ้าเหาะได้อยากไปไหนมาไหนทำไมไม่เหาะเอา
48. ใครที่เก่งๆ ที่จะเป็นอาจารย์ของพระเอกหรือพวกพระเอก ชีวิตก่อนที่จะเจอพระเอกต้องหลบหนี สังคมไปใช้ชีวิตสันโดษให้ทิ้งแค่ชื่อหรือฉายาอันเก่งกาจไว้แล้วหนีไปให้ไกลๆ อย่าให้ใครเจอจนกว่า พระเอกจะหาพบ
49. ต้องมีพี่น้องร่วมสาบาน ยังไงก็ต้องมี ไม่รู้มันจะสาบานกันไปทำไม
50. ชอบหนีปัญหาด้วยการไปบวชเป็นหลวงจีน
51. พระเอก ผู้ร้าย นางเอก สวมชุดเดิมเสมอตลอดกาลไม่เคยเปลี่ยน
52. ประโยคเด็ด "เราจะหนีออกจากยุทธจักรด้วยกัน ไปที่สุดหล้า ฟ้าเขียว หามีผู้ใดเจอเราไม่ ข้าทำนา เจ้าทอผ้า มีความสุขตามประสา"
53. หนังกำลังภายในที่มีเล่นแสงเฮ้ากวง แสงผู้ร้ายมักเป็นสีเขียว
54. หนังผี โดยมาก ผีจีนมักอยู่ในราชวงศ์ชิง (แมนจู) นานๆ จะเจอราชวงศ์ฮั่น หรือถัง หรือซ้อง
55. พระเอกมักจะถูกจับไปขังหรือไม่ก็ไปติดอยู่ในถ้ำ แล้วฟลุ๊คเจอคำภีร์ ทั้งๆ ที่คนอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่ยักเจอ
56. พระเอกต้องมีสาวมาหลงอย่างต่ำ 2 คนขึ้นไป
57. พระเอกอยู่ดีๆ ก็มีคนโยนตำแหน่งเจ้าสำนักมาให้ ทั้งที่ๆ คนในสำนักนั้นแย่งชิงกันแทบตาย แต่กลับมาตกอยู่ที่พระเอก
58. ต้องมีแบบแอบเป่ายาสลบเข้าไปรมตัวละครที่ในห้อง
59. ต้องมีการย่างไก่หรือ!อื่นๆ กินกลางป่า
60. อาหารสุดฮิตของโรงเตี๊ยมกลางทางคือหมั่นโถวกะนำชา
61. ยัยคนที่เป็นนางเอกมักแก่นเซี๊ยว
62. ไม่มีทางที่นางเอกจะเก่งกว่าพระเอก ยุทธจักรน่ะมันโลกของผู้ชายโว้ย
63. วัดร้างย่อมต้องมีไก่ป่า เห็นพระเอกจับมาย่างกินตัวเหลืองอร่ามแทบทุกเรื่องเชียว
64. จอมยุทธ์เดินทางรอนแรมเป็นปี ๆ ผ่านก่รต่อสู้มามากมาย แต่เสื้อผ้าไม่ยักกะเลอะเทอะ แถมสัมภาระในการเดินทางก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าห่อผ้าเล็ก ๆ ห่อเดียว
65. ตัวเอกแทบไม่เคยขัดสนเงินทอง หากไม่มีเงินแบบแท่โต ๆ ก็ต้องมีตั๋วเงินให้ล้วงออกมาใช้เสมอ (สงสัยจริง ๆ ว่าแขนเสื่อพวกเนี้ย มันใส่ของได้จุขนาดนั้นเลยเรอะ)
66. ที่สำคัญ จอมยุทธจะเชื้อดีมาก ไม่สนว่าช่วงนั้นจะมีประจำเดือนมั๊ยรับรองถ้าได้เสียกันครั้งเดียว ท้องแน่นอน
67. เวลา พระเอกนางเอกตกน้ำ พอฉากหลังจากนั้น เสื้อผ้าพี่ทั่น ทรงผม ฯลฯ จะ หายเปียก หรือ ผมเข้าทรง เหมือนเดิม สงสัยมี บริการ ซักอบ รีด กับ hair salon delivery มั้ง
68. ไฟในเรื่องจะเป็นอาไร ที่จุดง่ายมาก เวลาย่างไก่กิน ทำมัยติดง่ายจัง เวลาเผา บ้านเผาวัดแม้ไม่มี เชื้อเพลิง ไม่มีน้ำมัน แต่ จะกลายเป็นไฟนรกได้ ในพริบตา
69. อย่าดูถูก พวก แมงมุม ตะขาบ กบ คางคบ ว่าเป็น !ชั้นต่ำ ให้ลองชิม ดูแล้วจะรู้ว่า กินแล้ว พลังวัตร จะสูงขึ้น แก้พิษได้ด้วย
70. วิชาที่เหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะมีคนจะฝึกมานานแค่ไหน 10 ปี 20 ปี แต่พอพระเอกมาฝึกแล้ว ขอเวลา วัน 2 วัน จะเก่งขึ้นกว่าคนที่ฝึกมาก่อนเสมอ
71. เวลาตกเขาแล้วรอดตาย แต่ แขนหักทำมัยไม่มีเลือดออก ตัวเบาจิง
72. คนใช้ของนางเอก ต้องชื่อเสี่ยวชุ่ยทุกคน ทุกเรื่องด้วย ไม่รู้ทำไม (คงเหมือนชื่อยอดฮิต "นังแจ๋ว"ในหนังไทย)
73. พระเอก ตอนเล็กๆ ต้องไม่เป็นวรยุทธ์ แต่อยู่ดีๆ ก็จะฝึกไอ่ที่เค้าฝึกไม่ได้กันจนสำเร็จ (คนคิดวิชายังฝึกได้แค่ขั้น 9)
74. ไม่เคยมีใครฝึกวิทยายุทธเป็น เร็วและคล่องเท่าพระเอก
75. ในเรื่องห้ามฝึกวิชาตามขั้นตอนเด็ดขาด ต้องฝึกแบบลัดๆ หรือไม่ก็ฝึกแบบไม่สนธาตุไฟเข้าแทรก (มักจะสำเร็จวิชาภายในเวลาอันรวดเร็วมากๆ เช่นข้ามคืน) จึงจะเก่งได้ (เก่งกว่าคนที่ฝึกมา 20-30 ปีด้วย)
76. ไม่ใช่นก ไม่มีปีก แต่ก็ใช้ตีน บินได้. . .
77. พวกหนังจีนจะเป็นพวกสิงห์รมควัน จะรักษา ใครหรือถ่ายพลังให้ใครฝึกลมปราณจะต้องมีควันฟุ่งขึ้น ยิ่งควันสีขาวนี่สุดยอด
78. เวลาที่พระเอกนางเอกสู้กับศัตรู ตอนที่ศัตรูจะใช้ดาบฟันขา พวกเขามักจะกระโดดหลบได้เสมอ ไม่เคยเห็นเรื่องไหนมันโดนฟันขาขาดมั่งเลย
79. ในเรื่อง คนจนส่วนมากจะเก่งกว่าคนรวย โดยเฉพาะพวกขอทาน พรรคกระยาจก และจะแต่งตัวโทรมๆ ถือไม้คนละอันขันอีกใบ แต่พวกนี้มีวิชายอดเยี่ยม ไม่รู้เอาเวลาที่ไหนไปฝึกวิชาแล้วเอาวิชาที่ฝึกมาจากไหน
80. เสี่ยวเอ้อไง ใครอยากรู้ข่าวอะไรในยุทธภพก็จะมาถามเสี่ยวเอ้อนี่แหละ รับรองว่ารู้หมด
81. ทำมัยพวกหลวงจีน ตามวัดเส้าหลิน นักบวชที่ถือศีล ถึงฆ่าคนได้ เลือดเย็นโคด เอ่ะอ่ะๆ ฟัน
82. ไม่ว่าจะบาดเจ็บปางตายแค่ไหน ที่ที่คุณควรไป คือวัดเส้าหลินอีกแล้ว คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ช่วยคุณได้เสมอ
83. เวลา พระเอกนางเอก งอนกัน หรือ ทะเลาะแล้วต้องแยกจากกัน เวลาทั้งคู่อยู่ในสถานที่เดียวกัน เดินผ่านกัน ในตลาด มักจะมองไม่เห็น บังเอิญจริง
84. เรื่องของการจี้สกัดจุดยังไง แค่เอานิ้วแตะเบาๆ ทีสองทีก็ตัวแข็งทื่อได้เป็นวันๆ เลย หรือจี้เบาๆ ที่เดียวก็อ๊วกออกมาเป็นเลือดเลย จริงหรือเปล่า?
85. เวลาจะไปแอบฟังหรือแอบดูความลับใคร ไม่ใช้นิ้วเจาะผนังกระดาษก็กระโดดไปเปิดหลังคาบ้าน สงสัยจริงๆ ว่าช่างมันเจาะจงไว้ให้หรือว่าอย่างไรนะ
86. ชาวยุทธจักรช่างใจเสาะกันจริงๆ พูดแต่คำว่ามิกล้าๆ ๆ
87. พระเอกจะฝึกวิชา ยกเว้นวิชาที่บอกให้ตอนตัวเองเป็นขันที ซึ่งก็จะมีแต่ตัวโกงเท่านั้น ที่ฝึกทุกวิชา โดยไม่ลืมหูลืมตา ก็เพราะต้องการเป็นใหญ่ในยุทธจักร
88. ทั้งๆ ที่เหล้านารีแดงเป็นเหล้าที่หายากชั้นเลิศแต่ไม่เคยเห็นคนสั่งกินกันอย่างสุภาพเลยซั
ดโฮกๆ
89. เวลาสำรวจว่าอาหารมีพิษหรือเปล่า ต้องใช้ตะเกียบงาช้างเท่นั้น หรือไม่ก็มีตัวประกอบเสนอหน้า ท่านชายข้าจะลองกินเอง อัตราสูงมากที่เจ้าตัวประกอบนั้นต้องตายเป็นคนแรก เพราะอยากเสร่อลองชิม
87. สุรายอดฮิตอีกอย่างนอกจากนารีแดงก็คงไม่พ้นใบไผ่เขียว อิอิอิ
88. จะบุกวัดเส้าหลิน ต้องไปหอคัมภีร์ก่อน ของตำรา แล้วจุดไฟเผา ไฟไหม้ช้ามาก แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ พวกหลวงจีน หาน้ำดับไฟไม่ทันอยู่ดี
89. พระเอกมักตื่นเช้าขึ้นมาแล้ว มักไม่อาบน้ำ แปรงฟัน แต่จะใช้น้ำในกาละมังที่ สาวใช้เตรียมไว้ ลูบเฉพาะใบหน้า (คุณชายโสโครก)
90. อยากเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับพระเอก ไม่ยาก สิ่งที่ต้องทำคือ เลี้ยงเหล้า ให้ที่พัก ให้เงิน หรือแม้กระทั่งประลองยุทธ เนื่องจากพระเอกถูกชะตาคนได้ง่ายมาก
91. ถ้าตัวร้ายเป็นผู้หญิงอาวุธเธอไม่มีอะไรมาก แค่เครื่องดีดสายอันนึงหรือไม่ก็ผ้ายาวเป็นเมตร ออกมาทางแขนเสื้อ(มันจุได้เยอะขนาดเชียว)
92. ตัวร้ายผู้หญิงก่อนจะมาเป็นนางมารต้องถูกหักอกมาก่อน
93. ตัวร้ายหญิงต้องเกลียดผู้ชาย
94. กรณีนางเอกปลอมเป็นชายจะถูกจับได้ก็เมื่อ อันผ้าโผกหลุดเห็นผมยาว-ดูเหมือนจาเลิกฮิตไปแล้ว เพราะมีกลยุทธ show นางเอก ให้ (พระเอกเท่านั้น) จับได้ ไม่ว่าจาเป็นเห็นตอนอาบน้ำ เผลอ (แอบ) จับหน้าอก สวมกอด . . เป็นต้น
95. เวลาแม่นางเอกคลอดลูกตายถ้าลูกรอด. . . อีกสิบก่าปีต่อมาลูกจะหน้าเหมือนแม่เด๊ะทุกกระเบียดนิ้ว. . . (บอกให้เค้ารู้ว่าแม่หนาแบบนี้) ถ้าเป็นผู้ชายก้อจะหน้าเหมือนพ่อ. . . เหมาะแก่การตามหาพ่อ เมื่อเป็นกรณีที่พลัดพรากกันตอนยังไม่เกิด. . . .
96. ก่อนพ่อแม่นางเอกจะตายต้องสั่งเสียว่าอย่าลืมล้างแค้นให้ด้วยนะ
97. ถ้าพระเอกถูกเจ้าสำนักลงโทษ ต้องไปคุกเข่าที่หอ/ห้อง/เขาสำนึกตน โดยมีศิษย์น้อง (ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและนางเอก)ไปส่งอาหารให้
98. พระเอก ต้องเปงคนดีเสมอ ฉันนี่แหละเริ่ด เหตุผลฉันดีกว่า แบบประมาณว่าพระเอกเนี๊ยแหละถูก อยู่กะพระเอกแล้วจะรอด หรือไม่ก้อจะเปงผ่ายดีตลอดกาล
99. ไม่ว่าคนเขียนจะเป็นใคร ในเรื่องจะมีสำนักน้อยใหญ่มากแค่ไหน แต่สำนัก pattern ที่ต้องมีคือ บู๊ตึ้ง เส้าหลิน ง้อไบ๊ ส่วนพรรคมารแล้วแต่ผู้เขียนเรื่องนั้น
100. พรรคมารมักชื่อดูยิ่งใหญ่ เหมือนจะครอบครองทั้งยุทธภพเช่นพรรคใต้หล้าใน stormrider ส่วนพรรค ลูกๆ ของพรรคมารที่กระจอกมักชื่อเป็น! เช่น พรรคปลาวาฬ พรรคเสือดาว พรรคอินทรี พรรคฉลาม
101. พระเอกจนๆ จะคู่กับหมั่นโถว
102. ขนมหวานยอดฮิตจะเป็นพุทราเชื่อม กับแกล้มยอดฮิต ไก่ต้ม
103. ถ้าพระเอกได้รับพิษร้ายแรง หลังจากรักษาหายแล้ว ก็จะได้รับผลข้างเคียงเป็นพลังวัตรแบบสุดยอด
104. มักมีฉากตีกัน ณ ที่ตากผ้า ผ้าจะต้องเป็นผ้าผืนยาวเป็นสิบเมตร ห้ามเป็นผ้าที่ตัดเย็บแล้ว
105. เมื่อตีกันในโรงเตี๊ยมจะต้องมีคนถลาออกมาจากหน้าต่างชั้นสองเสมอ
106. ไม่ว่าจะโดนโจมตี กี่ครั้ง ปางตายแค่ไหน เสื้อขาดจนกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่หลังจากได้รับการรักษาตัวแล้ว เสื้อจะกลับกลายเป็นอย่างเดิม สีเดิม ย้ำ เหมือนเดิมทุกอย่าง ประมาณว่าผู้รักษาเป็นหมดเทวดา ที่แม้แต่เสื้อผ้า แกก็สามารถซ่อมได้ เหมือนเดิม
107. โดยมากนางเอกจะฉลาดกว่าพระเอก
108. ถ้าพระเอกหรือนางเอกโดนยาพิษ มักจะรักษาได้ยากมาก อาจต้องใช้บัวหิมะพันปี โสมหมื่นปี ซึ่งอายุการงอกเป็นไปตามชื่อ แต่เมื่อไปเก็บยา (อาจจะยากลำบากหน่อย) มักจะเจอทุกครั้ง (ถ้าไม่ใข่พระเอกกับนางเอกอาจตายได้)
109. บางครั้งวิทยายุทธบางวิชาไม่เคยมีผู้ใดฝึกได้มาก่อน แต่เมื่อมาอยู่ในมือพระเอกแล้วละก็ จะสามารถสำเร็จวิชาได้ทันที
110. ถ้าในเรื่องมีผู้หญิงชอบนางเอกมากกว่า 1 คน เวลามีเรื่อง (ผู้หญิงในเรื่องทะเลาะกัน) โดยมากแล้ว พระเอกจะเชื่อตัวร้าย มากกว่านางเอก ทำให้คนดูสมเพชความโง่ของพระเอก
111. ไอ่บัวหิมะพันปี มักมีในสำนักนางเอกเพียงเม็ดเดียว แล้วนางเอกมักจะพกไปเดินเล่นด้วย (ของสำคัญน่ะนั้น) พอเจอคนบาดเจ็บไม่ถามชทื่อแซ่ก็จะบอกคนใช้ให้เอายานั้นให้เขา แน่นอนเจ้าชายผู้โชคดีนั่นน่ะ พระเอก เสมอ
112. อ่างอาบน้ำยอดฮิตมีอยู่แบบเดียวคือ อ่างไม้อันใหญ่ๆ ดูเผินๆ คล้ายถังเก็บเบียร์ ทุกครั้งที่ นางเอกอาบน้ำ พระเอกจะต้องมาเห็น(ด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็แล้วแต่)
113. เอามือตบโต๊ะ แล้วร้องตะโกนว่า. . . . . . . . . . . มักจะต้องเป็นบทของผู้ร้ายแทบทุกเรื่อง
114. วิชามารต่างๆ ส่วนมากจะมาจากชมภูทวีป แล้วต้องใช้วิชาจากวัดเส้าหลินที่เป็นวิชาธรรมเข้าเพื่อสู้
115. สำนักที่เก่งๆ จะต้องหาเขาเป็นของตนเอง ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งห่างไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ต้องมีถ้ำเพื่อซ่อน คำภีร์หรือไว้เป็นที่ฝึกวิชาให้กับพระเอกในอนาคตด้วย แล้วต้องแบบบุญญาวาสนาให้เจอ
116. คนเก่งๆ ที่ท่าทางมีวิชาหรือกำลังภายในมากๆ สังเกตถ้าเป็นฝ่ายคุณธรรมจะผมขาว หนวดขาวเคราขาว หรือใส่ชุดขาว ถ้าเป็นฝ่ายอธรรมจะหน้าตาสีรุ้งคิ้วดำปืด ชี้ขึ้น (ถ้าทางจะเปลืองสีแย่) แต่งตัวสีฉุดฉาด ::


Credit ItemXP.Net

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP