เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

สมัคร สุนทรเวช


สมัคร สุนทรเวช

ประวัติสมัคร สุนทรเวช

สมัคร สุนทรเวช เป็นบุตรของ เสวกเอก พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) กับ คุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน จิตรกร) เป็นหลานลุงของ มหาเสวกตรี พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) นายแพทย์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นหลานตาของ มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) จิตรกรประจำสำนัก

นายสมัครเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน ดังนี้

พ.อ. (พิเศษ) พ.ญ.มยุรี พลางกูร - อดีตรองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
นางเยาวมาลย์ ราชวังเมือง - ประกอบธุรกิจส่วนตัว
พล.อ.อ.สมมต สุนทรเวช - อดีตที่ปรึกษา ทอ. (ถึงแก่กรรมแล้ว)
นายสมัคร สุนทรเวช
นายมโนมัย สุนทรเวช - พนักงานรัฐวิสาหกิจ
นายสุมิตร สุนทรเวช - นักการเมือง หัวหน้าพรรคประชากรไทย
สมัคร สมรสกับ คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช ที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัทใน เครือเจริญโภคภัณฑ์ มีบุตรสาวฝาแฝด คือ กานดาภาและกาญจนากร ปัจจุบันสมรสแล้วทั้งคู่ จากการที่ภรรยาทำงานอยู่กับบริษัทเอกชนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2505 สถานะการเงินของภรรยาจึงมั่นคงพอที่จะดูแลครอบครัวได้ นายสมัครเลยมิได้ทำงานประจำให้กับหน่วยงานใดและได้ทำงานด้านการเมืองเพียงอย่างเดียว มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516

ประวัติการศึกษา สมัคร สุนทรเวช
ก่อนประถมศึกษา : โรงเรียนสตรีบางขุนพรหม
ระดับประถมศึกษา : โรงเรียนเทเวศน์ศึกษา
ระดับมัธยมศึกษา : โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
ระดับอาชีวศึกษา : โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์
ระดับอุดมศึกษา : นิติศาสตรบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ศึกษาเพิ่มเติม สมัคร สุนทรเวช

ประกาศนียบัตรวิชามัคคุเทศก์ : คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประวัติการทำงาน สมัคร สุนทรเวช

พ.ศ. 2496 : เจ้าหน้าที่สอนเครื่องลงบัญชีไฟฟ้า National Cash Registered Co.,Ltd. (พ.ศ. 2496-2497)
พ.ศ. 2497 : เสมียนแผนกรถยนต์ และภายหลังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าแผนกเครื่องอะไหล่ Barrow Brown Co.,Ltd. (พ.ศ. 2497-2502)
พ.ศ. 2502 : ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกเครื่องอะไหล่ Loxley Bangkok Co.,Ltd. (พ.ศ. 2502-2504)
พ.ศ. 2504 : Free Lance Guide, World Travel Service Co.,Ltd. (พ.ศ. 2504-2506)
พ.ศ. 2507 : ผู้จัดการแผนกเครื่องอะไหล่ บริษัทเอื้อวิทยาพาณิชย์ จำกัด (พ.ศ. 2507-2509)
พ.ศ. 2510 : Dietary Aid, Fox Rever Rehabilitation Hospital, Chicago U.S.A. (พ.ศ. 2510-2511)
พ.ศ. 2512 : ผู้จัดการแผนกเครื่องอะไหล่ บริษัท เอื้อวิทยาพาณิชย์ จำกัด (พ.ศ. 2512-2513)
พ.ศ. 2513 : ผู้บริหารฝ่ายขาย John Deere Thailand Co.,Ltd. (พ.ศ. 2513-2514)
พ.ศ. 2514 : เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย (พ.ศ. 2514-2516)
พ.ศ. 2516 : ลาออกจากงานประจำและทำงานการเมืองอย่างเดียวเรื่อยมา เนื่องจากภรรยามีรายได้มั่นคงพอที่จะดูแลครอบครัวแล้ว

ประวัติทางการเมือง สมัคร สุนทรเวช

สมัครเริ่มต้นชีวิตการเมืองโดยสมัครเข้าเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2511 เริ่มลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาเทศบาลกรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2514 และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 ในชีวิตการเมืองเคยดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง

ตลอดเวลาที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัครได้รับการแต่งตั้งในคณะรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง ได้แก่

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช 2 (15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 – 13 มีนาคม พ.ศ. 2518)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาล หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช 3 (20 เมษายน พ.ศ. 2519 - 23 กันยายน พ.ศ. 2519)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร (8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2520)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ 2 (30 เมษายน พ.ศ. 2526 - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2529)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534)
รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร (7 เมษายน พ.ศ. 2535 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535)
รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา (13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539)
รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540)
นายกรัฐมนตรี (29 มกราคม - 9 กันยายน พ.ศ. 2551)

สรุปประวัติทางการเมือง สมัคร สุนทรเวช ได้ดังนี้

พ.ศ. 2511 : เข้าเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ (พ.ศ. 2511 - 2519)
พ.ศ. 2514 : สมาชิกสภาเทศบาลนครกรุงเทพมหานคร (ได้รับเลือกตั้ง เมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2514)
พ.ศ. 2516 : สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ (ได้รับแต่งตั้งเมื่อ 10 ธ.ค.16) และ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ได้รับแต่งตั้งเมื่อ 23 ธ.ค.16)
พ.ศ. 2518 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (ม.ค. 2518)
พ.ศ. 2518 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พ.ศ. 2519 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (เม.ย. 2519)
พ.ศ. 2519 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
พ.ศ. 2519 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. 2519 - 2520)
พ.ศ. 2522 : ก่อตั้งพรรคประชากรไทย และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (เม.ย. 2522)
ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง และสถาบันการเงิน (พ.ศ. 2523 - 2526)
พ.ศ. 2526 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (เม.ย. 2526)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (พ.ศ. 2526 - 2529)
พ.ศ. 2529 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (ก.ค. 2529)
ประธานคณะกรรมาธิการการปกครอง (พ.ศ. 2529 - 2531)
พ.ศ. 2531 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (ก.ค. 2531)
ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ (พ.ศ. 2531 - 2533)
พ.ศ. 2533 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (พ.ศ. 2533 - 2534)
พ.ศ. 2535 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (มี.ค. 2535) (ก.ย. 2535)
ประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม (พ.ศ. 2535 - 2538)
พ.ศ. 2538 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (ก.ค. 2538)
พ.ศ. 2539 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (พ.ย. 2539)
พ.ศ. 2543 : ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พ.ศ. 2543 - 2547)
พ.ศ. 2550 : รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พ.ศ. 2550 - ปัจจุบัน)
พ.ศ. 2551 : นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (29 ม.ค. - 9 ก.ย.)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ สมัคร สุนทรเวช ได้รับ

พ.ศ. 2517 ตริตาภรณ์มงกุฏไทย
พ.ศ. 2518 ตริตาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2519 ทวีติยาภรณ์มงกุฏไทย
พ.ศ. 2520 รัตนาภรณ์ (ชั้นที่ ๒ )
พ.ศ. 2522 ประถมาภรณ์มงกุฏไทย
พ.ศ. 2524 ประถมาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2526 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2527 ทุติยจุลจอมเกล้า
พ.ศ. 2527 มหาวชิรมงกุฏ
พ.ศ. 2539 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์
พ.ศ. 2545 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ

ผลงานหนังสือ สมัคร สุนทรเวช

สมัคร สุนทรเวช พูด. (ไม่ทราบปีที่พิมพ์)
สันดานหนังสือพิมพ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บูรพาศิลป์, 2520.
การเมืองเรื่องตัณหา. กรุงเทพฯ : บูรพาศิลปการพิมพ์, 2521.
จวกลูกเดียว. กรุงเทพฯ : เบญจมิตร, 2522.
จากสนามไชยถึงสนามหลวง. กรุงเทพฯ : 2522. (ไม่ทราบสำนักพิมพ์)
การเมืองเรื่องตัณหา 2. กรุงเทพฯ : 2532. (ไม่ทราบสำนักพิมพ์)
สมัคร ๖๐. กรุงเทพฯ : ซี.พี.การพิมพ์, 2538.
ชิมไปบ่นไป. กรุงเทพฯ : อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์, 2543. ISBN 978-974-387-054-5
เรื่องไม่อยากเล่า. กรุงเทพฯ : ฐากูรพับลิชชิ่ง, 2543. ISBN 978-974-85986-2-8
คนรักแมว. กรุงเทพฯ : เนชั่นบุ๊คส์, 2547. ISBN 978-974-8280-21-9
จดหมายเหตุกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2547.ISBN 978-974-272-920-2
ใครๆ ก็ชอบไทยฟู้ด. กรุงเทพฯ : ครัวบ้านและสวน, 2548. ISBN 978-974-387-048-4
สมัคร สุนทรเวช และดุสิต ศิริวรรณ. ตำนานหนองงูเห่า และการเมืองเรื่อง CTX. กรุงเทพฯ : 2548. ISBN 978-974-93447-5-0

ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์


ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ที่ย่าน เยาวราช ในครอบครัว คนไทยเชื้อสายจีน ปัจจุบันเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนวัยหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Davis Kamol"

ประวัติ
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เติบโตแถวเยาวราช ในครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อ ฮาร่า โดยปัจจุบันธุรกิจนี้ดูแลโดยนายเลิศชัย กมลวิศิษฎ์ พี่ชายของ นายชูวิทย์

นายชูวิทย์ จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกชาญอิสสระ) มัธยมต้น โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา มัธยมปลาย โรงเรียนเทพศิรินทร์ ปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ปริญญาโท มหาวิทยาลัยซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา และหลังจากเข้าสู่วงการเมือง และ พ.ศ. 2548 โดนศาลรัฐธรรมนูญปลดออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพราะว่าสังกัดพรรคชาติไทยไม่ถึง 90 วัน จึงมาศึกษาต่อในหลักสูตร รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา การเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2551 [1]

ด้านชีวิตครอบครัว ปัจจุบันนายชูวิทย์สมรสกับ นางสุรัชฎา แววศรี และมีบุตรกับภรรยาเก่า 4 คน คือ นายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ (ต้น) นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ (เติม) น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ (ต๊ะ) และ ด.ช.ต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ (ต่อ)

ธุรกิจ
หลังจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา นายชูวิทย์หันมาทำธุรกิจของตัวเอง เปิดอาบอบนวดชื่อ วิคทอเรีย ซีเคร็ท และขยายกิจการจนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมยามที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วย เป็นเรื่องที่เกรียวกราว ได้รับฉายาว่า เสี่ยอ่าง หรือ จอมแฉ จนเกิดผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวด ถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิง อายุต่ำกว่า 18 ปี ในสถานอาบอบนวด

นอกจากนั้น ชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภาติฌาน จำกัด, บริษัท ซี.ดี แลนด์ จำกัด, เจ้าของ บริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด, กรรมการบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ และ ประธานบริษัทเดวิสกรุ๊ป ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด

การเมือง
ปัจจุบันภายหลังรับปริญญา นายชูวิทย์ เตรียมลงสมัครผู้ว่า กทม. อีกครั้งโดยจะแถลงข่าวในวันเกิดตนเอง 29 สิงหาคม 2551 นี้ นายชูวิทย์ก้าวมาสู่วงการเมือง โดยขายหุ้นในอาบอบนวดทั้งหมด แล้วการลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เบอร์ 15 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่าสามแสนคะแนน ต่อมานายชูวิทย์นำพรรคต้นตระกูลไทย ที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง เข้าร่วมกับพรรคชาติไทยและรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทย

นายชูวิทย์ลงสมัครเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2548 เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย แต่ต่อมาถูก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น ส.ส. ต่อมา ในปี พ.ศ. 2549 นายชูวิทย์ได้ลาออกจากพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัคร ส.ว. กรุงเทพฯ แต่ก็ถูก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว. โดยระบุว่า ยังไม่พ้นจากสถานะภาพ ส.ส. ครบกำหนด 1 ปี ก่อนที่จะลงสมัคร ส.ว. ตามกฎหมาย

เป็นที่รู้จักในกลางปี พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏเป็นข่าว หายตัวไปอย่างลึกลับ ขณะมีคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นคดีที่มีคู่ความเป็นตำรวจนครบาล ไม่กี่วันต่อมานายชูวิทย์ก็ปรากฏตัวข้างถนน ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว นายชูวิทย์ได้แฉว่า ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป

จากนั้นนายชูวิทย์ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเจ้าตัวเริ่มทำการแฉ ถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ่ การรับส่วย เป็นต้น จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น โดยบุคคลิกของนายชูวิทย์ขณะนั้นเป็นไปอย่าง ดุดัน ดุเดือด จริงจัง แต่หลังจากนั้นแล้ว นายชูวิทย์เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป กลายเป็นบุคคลที่สนุกสนานเฮฮา มีสีสันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งการแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่างๆ ในสังคม ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจำนวนหนึ่ง

เข้าสู่พรรคชาติไทย

หลังจากเข้าสู่พรรคชาติไทยแล้ว ชื่อเสียงของนายชูวิทย์เริ่มหายเงียบไป แต่ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะๆ เช่นเป็นผู้หิ้วข้าวผัดและโอเลี้ยงไปเยี่ยม 3 อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก ในคดีทุจริตการเลือกตั้ง หรือ การออกป้ายหาเสียงแบบแปลกๆ แหวกแนวไม่เหมือนใคร เป็นต้น

ในระยะแรกๆ ที่เข้าร่วมกับพรรคชาติไทย นายชูวิทย์เคยมีข่าวขัดแย้งกับ น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ หรือ "น้องแบม" ส.ส.หญิงภาพลักษณ์ดีของพรรคชาติไทย โดยมีข่าวว่า น.ส.จณิสตา ไม่ยอมรับในตัวนายชูวิทย์ ที่เคยประกอบธุรกิจอาบอบนวดมาก่อน

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 นายชูวิทย์ได้ประกาศว่าจะไม่ขอลงเลือกตั้งในปลายปีไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม หลังจากได้รับการจัดให้เป็นตัวแทนพรรค สมัครรับเลือกตั้งแบบรายชื่อเป็นลำดับที่ 2 ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยยกลำดับที่ 1 ให้กับ พลเอกอัครเดช ศศิประภา (อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด บิดาสามีนางเอกชื่อดัง ลลิตา ปัญโญภาส) และเชื่อว่าตนเองจะไม่ได้รับการเลือก รวมทั้งได้โจมตีการบริหารพรรคของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคด้วย หลังการเลือกตั้ง เมื่อพรรคชาติไทยจากเดิมที่อยู่คนละข้างกับพรรคพลังประชาชนได้แสดงท่าทีจะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับทางพรรคพลังประชาชน นายชูวิทย์ก็ได้โจมตีนายบรรหารอย่างรุนแรงขึ้น และได้ลาออกจากพรรคเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ให้มอเตอร์ไซด์รับจ้างไปคืนเสื้อแจ็คเก็ตของพรรคที่ที่ทำการพรรคด้วย

นายชูวิทย์มักจัดทำป้ายขนาดใหญ่[2] มีข้อความซึ่งเขากล่าวว่าสะท้อนความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน[3]

ในปี พ.ศ. 2551 นายชูวิทย์ซึ่งได้ลาออกจากพรรคชาติไทยแล้ว ก็มาลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นายชูวิทย์ได้เบอร์ 8

ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

เณรแอ

เณรแอ

ในวงการ ไสยศาสตร์ ของประเทศไทย ไม่มีใครไม่รู้จัก "เณรแอ" หรือ นายหาญ รักษาจิตร์ เจ้าของต้นตำรับ "กุมารทอง" ของขลัง รวมทั้ง มนต์ดำ เสน่ห์ยาแฝด ที่ชื่อดังที่สุดแห่งยุค

"เณรแอ" บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหนองระกำ อ.หนองโดน จ.สระบุรี อยู่หลายปี แม้ว่าอายุจะถึงวัยที่ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ "เณรแอ" ก็ไม่ยอมอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่เลือกที่จะร่ำเรียน ไสยศาสตร์ มนต์ดำ จาก อาจารย์เขมร จนว่ากันว่ามีอาคมแก่กล้า ช่ำชองการ ทำเสน่ห์ยาแฝด การสะเดาะเคราะห์ และ ปลุกเสกของขลัง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่ละวันมีลูกศิษย์ลูกหาเดินทางไปให้ "เณรแอ" ทำ พิธีทางไสยศาสตร์ ให้จำนวนมาก

กระทั่งปี 2537 "เณรแอ" ใช้ใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำทำพิธีปลุกเสก กุมารทอง ของขลังตามท้องเรื่องในวรรณคดีดัง "ขุนช้างขุนแผน" ที่ "เณรแอ" และผู้คลั่งไคล้ไสยศาสตร์ เชื่อกันว่า เป็น ผีเด็ก ที่ใครมีไว้ในครอบครองแล้วจะทำให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน การค้าการขายได้กำไรดี

ทั้งนี้ ในวรรณคดี "ขุนช้างขุนแผน" ระบุไว้ว่า กุมารทอง คือ ผีเด็ก เป็นลูกของ ขุนแผน กับ นางบัวคลี่ ซึ่ง นางบัวคลี่ คิดไม่ซื่อ แอบวางยาพิษ ขุนแผนโกรธจึงฉวยโอกาสที่นางบัวคลี่หลับผ่าท้องควักเอาเด็กออกมาย่างไฟจนแห้งสนิท แล้วปลุกเสกด้วยคาถาอาคม เป็นของขลังที่ติดตามขุนแผนไปทุกหนทุกแห่ง คอยช่วยเหลือขุนแผนให้ปลอดภัยจากศัตรู

"เณรแอ" อาศัยความเชื่อใน ไสยศาสตร์ ที่มีอยู่ดั้งเดิมของคนไทยมาเชื่อมโยงกับเรื่องราวในวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่คุ้นเคยกันดีในหมู่คนไทย ทำให้มีคนเชื่อถือคลั่งไคล้ในตัว "เณรแอ" และต่างยกให้เป็น "จอมขมังเวท" ไปในที่สุด

แต่พิธีกรรมปลุกเสก "กุมารทอง" ในครั้งนั้น ทำให้จอมขมังเวทผู้นี้ต้องติดคุกติดตะรางอยู่ 1 ปีเต็ม เนื่องจากในพิธีปลุกเสก "กุมารทอง" ครั้งนั้น มีการบันทึกภาพวิดีโอขั้นตอนการปลุกเสกไว้อย่างละเอียดยิบ โดยเฉพาะขั้นตอนการย่างศพเด็ก และมีการนำวิดีโอเทปไปเผยแพร่ในสื่อมวลชนต่างๆ จนเป็นข่าวครึกโครม

หลังจากนั้นไม่นาน กรมการศาสนาได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.หนองโดน ให้ดำเนินคดี "เณรแอ" ในข้อหาอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีตัวตน ซึ่งศาลจังหวัดสระบุรีได้พิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี

แต่เรื่องราวของ "เณรแอ" ไม่ได้จางหายไปจากสังคมไทย เพราะหลังจากนั้นไม่นานผู้สร้างภาพยนตร์นำเรื่องราวของจอมขมังเวทผู้นี้ ไปถ่ายทำภาพยนตร์ให้ชื่อว่า "เณรแอจอมขมังเวทย์" ทำให้ชื่อเสียงของเณรแอเป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศจนถึงบัดนี้

หลังจากพ้นโทษ แม้ว่า "เณรแอ" จะไม่ได้ถือครองผ้าเหลือง แต่เขาก็ไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงไสยศาสตร์ เขาได้ใช้บ้านพักทรงไทย ปลูกสร้างอยู่ในเนื้อที่ 5 ไร่ เลขที่ 18 หมู่ 6 ต.หนองโดน อ.หนองโดน จ.สระบุรี เป็นสถานที่ทำ เสน่ห์ยาแฝด ให้แก่ผู้ที่ศรัทธา จนกลายเป็นคนมีฐานะ มีทรัพย์สินอยู่ในความครอบครองหลายสิบล้านบาท

เมื่อปี 2538 "เณรแอ" ได้แต่งงานกับ นางชไมพร รักษาจิตร์ โดยยังคงยึดอาชีพ หมอเสน่ห์ ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ต้องเลิกรากันไป โดยนางชไมพรอ้างว่าทนพฤติการณ์ของ "เณรแอ" ไม่ไหว กรณีบังคับให้หลอกลวงหญิงสาวที่มีปัญหาครอบครัวให้มาทำพิธีไสยศาสตร์ และได้ฟ้องหย่าต่อศาล

ต่อมาเมื่อปี 2548 นางชไมพรเข้าร้องเรียนต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวหา "เณรแอ" ว่าเป็นจอมลวงโลก มีพฤติการณ์ต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชน อ้างพิธีทางไสยศาสตร์หลอกข่มขืนหญิงสาวที่หลงเชื่อ แถมยัง แอบถ่ายวิดีโอ ไว้ แบล็กเมล์เหยื่อ

หลังรับเรื่องร้องเรียน นางปวีณาได้ประสานไปยัง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบก.ปดส.(ตำแหน่งในขณะนั้น) ให้สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี "เณรแอ" ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน จนทำให้ "เณรแอ" ต้องระเห็จเข้าคุกอีกครั้ง

ระหว่างการเข้าตรวจค้นบ้านพักของเณรแอ เมื่อเช้ามืดวันที่ 10 กรกฎาคม 2548 ตำรวจพบ "เณรแอ" นอนอยู่ในห้องพักกับหญิงสาววัย 19 ปี รายหนึ่ง โดยหญิงสาวรายนี้ยอมรับกับตำรวจว่า เดินทางมาพบ "เณรแอ" เพื่อให้ทำเสน่ห์ยาแฝดให้ แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าพิธี จึงต้องยอมร่วมหลับนอนกับ "เณรแอ" แทน

การค้นบ้านพักของ "เณรแอ" ในวันนั้น นอกจากหญิงสาวแล้ว ยังพบเครื่องรางของขลังและอุปกรณ์การทำพิธีไสยศาสตร์อยู่เต็มบ้าน ทั้งพระพุทธรูป รูปปั้นกุมารทอง หัวกะโหลกลงอักขระหลายขนาด ตะกรุด ปลัดขิก ขวดน้ำมันพราย หุ่นขี้ผึ้งปั้นหญิง-ชายกอดกันและมัดติดกัน

อย่างไรก็ตาม ของกลางที่พบไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบได้ในบ้านพักของจอมขมังเวทรายนี้ แต่ที่ทำให้ตำรวจแปลกใจคือ มี ยาทน ยาไวอากร้า และยากล่อมประสาท ซุกซ่อนอยู่ใต้ฐานพระภายในห้องทำพิธีของ "เณรแอ" ด้วย

"เณรแอ" ถูกควบคุมตัวมาสอบสวนที่ บก.ปดส. ซึ่งเขายืนกรานปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยเฉพาะในประเด็นการข่มขืนหญิงสาว ที่มาพบเขาเพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์ โดยอ้างว่าหญิงสาวยินยอมมีเพศสัมพันธ์กับเขาเอง ต่อมาพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเณรแอ ต่อศาลอาญา รัชดาฯ เอาผิดเณรแอฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งศาลได้พิพากษาให้จำคุก "เณรแอ" เป็นเวลา 100 ปี แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 75 ปี อย่างไรก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้สูงสุดที่ 20 ปี และให้ริบของกลางที่ใช้ประกอบพิธีกรรมและชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทุกราย

จากการสืบสวนของตำรวจ ปดส.ในครั้งนั้น พบว่ามีหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของ "เณรแอ" ทั้งสิ้น 33 คน ในจำนวนนั้นมีดารา นักแสดง และผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม หลายรายรวมอยู่ด้วย ซึ่งนั้นเป็นเพราะ "จอมขมังเวท" รายนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ในทำนองว่า เป็นจอมขมังเวท เป็นหมอผี มีเวทมนตร์คาถาไสยศาสตร์ ทำเสน่ห์ ลงนะหน้าทอง ให้เกิดพลังเมตตามหานิยม ทำให้คนรักคนหลง ค้าขายดี

ข้อความโฆษณาเหล่านี้ เป็นตัวจุดชนวนอย่างดีให้แก่บุคคลที่มีปัญหาในชีวิตหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อในที่สุด

ปัจจุบันเณรแอยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จึงทำให้เรือนไทย เลขที่ 18 หมู่ 6 ต.หนองโดน ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางไปให้ จอมขมังเวท รายนี้ ทำพิธีทางไสยศาสตร์ให้เงียบเหงา

แต่แม้ว่า "เณรแอ" จะถูกขังอยู่ในคุก แต่ชื่อเสียงก็ยังไม่ได้สูญหายไปจากสังคม และก่อนจะถูกนำเข้าห้องขัง "เณรแอ" เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้ว่า การถูกจับกุมดำเนินคดีจะยิ่งทำให้เขาโด่งดัง และเมื่อพ้นโทษจะมีคนเดินทางมาหาเขาอีกจำนวนมาก

การให้สัมภาษณ์ของ "เณรแอ" ในครั้งนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ คงต้องรอพิสูจน์กันอีก 10 กว่าปีข้างหน้า

"เณรแอ" ข้อมูลจากคมชัดลึก วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เณรแอ

เสน่ห์ จามริก

เสน่ห์ จามริก

ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก

ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 เป็นนักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน

การศึกษา ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก
มัธยมปลาย โรงเรียนวัดราชบพิธ
พ.ศ. 2491 ธรรมศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
พ.ศ. 2500 ปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร

ประวัติการทำงานและผลงาน ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
กรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. 2503-2530 อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนเกษียณอายุราชการ
พ.ศ. 2516-2517 สมาชิกสภานิติบัญญัติ
พ.ศ. 2518 ร่วมก่อตั้งสหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน (ปัจจุบันคือ สมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน หรือ สสส.) และได้รับเลือกตั้งเป็นประธาน
หัวหน้าโครงการรัฐศาสตร์ศึกษา และหัวหน้าสาขาวิชาการต่างประเทศ
พ.ศ. 2518 รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2518 ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นอกจากนี้ยังมีบทบาททางด้านการวิจัยและสนับสนุนการวิจัยหลายด้าน ดังเช่น

หัวหน้าโครงการวิจัย "พัฒนาการสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย" ของมูลนิธิฟอร์ด และมูลนิธิเอเชีย
ประธานมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายกสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย
กรรมการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
หลังจากเกษียณอายุราชการ ก็ได้รับรางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่น และทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนอีกหลายแห่ง งานที่ทำล้วนเน้นหนักไปทางด้านชนบท ชุมชนท้องถิ่น สิทธิมนุษยชน ตำแหน่งสำคัญในปัจจุบันคือ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

จิทัศ ศรสงคราม

จิทัศ ศรสงคราม

ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม

ร้อยเอก จิทัศ ศรสงคราม สถาปนิกชาวไทยและนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เกิดวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2517 เป็นบุตรชายคนเดียวของ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม กับ นายสินธู ศรสงคราม อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเบิร์น และเจ้าของ ตลาดบอง มาร์เช่ ในปัจจุบัน

ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม เป็นพระนัดดา (หลานยาย) ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องจาก ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ผู้เป็นมารดา เป็นพระธิดาองค์เดียวของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม สำเร็จการศึกษาสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์จากต่างประเทศ ปัจจุบันเป็น กรรมการมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ล่าสุด ร.อ.จิทัศ เป็นผู้ออกแบบตกแต่งภายใน ร้านภูฟ้า สาขาบอง มาร์เช่

ร.อ.จิทัศ ศรสงคราม ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี จิทัศ ศรสงคราม
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

คลิป รำลึก Santika ผับที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

BEST CLUBS in SE ASIA: Santika Club Bangkok

รำลึก Santika ผับที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
tag: Santika ผับที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง รำลึก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใน


คลิป รำลึก Santika ผับที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก Seedang.com









Goodbye Santika



ปวีณา สิงห์บูรณา

ปวีณา สิงห์บูรณา

ปวีณา สิงห์บูรณา นางสาวปวีณา สิงห์บูรณา

ประวัติ

ชื่อ ปวีณา สิงห์บูรณา ชื่อเล่น ส้มเช้ง

เกิด 5 กันยายน พ.ศ. 2515

การศึกษา

มัธยมศึกษา ... โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จ.สุพรรณบุรี

ปริญญาตรี .... ม.ราชภัชสวนสุนันทา คณะวิทยาการจัดการ สาขา ศิลปศาสตร์ (การตลาด)

ปริญญาโท ... Assumption University ,Master of Management (Organization Development)



อาชีพ

นักบริหาร, พิธีกรรายการโทรทัศน์ , วิทยากรบรรยายพิเศษ , นักเขียน

ผลงานการเป็นพิธีกร

• พิธีกรรายการสารคดีต่างประเทศ “ โลก 360 องศา ” ช่อง 5 ตั้งแต่ 2003- ปัจจุบัน

• พิธีกรรายการ “ องศาสยาม ” ช่อง 3 ปี 2003-2005

• พิธีกรรายการ “ เต็มอิ่ม 360 องศา ” ช่อง 5 ปี 2005 -2006

• พิธีกร “ พิธีเปิด และปิดการแข่งขันกีฬาคนพิการแห่งชาติ ” ปี 2006 ที่ จ.สุพรรณบุรี

ผลงานเขียน

• หนังสือพอคเก็ตบุ๊ค “ บันทึกโลก 360 องศา ”

• หนังสือพอคเก็ตบุ๊ค “ จีน 360 องศา ”



ประวัติการทำงาน

• เริ่มทำงานที่แรกหลังจบปริญญาตรีที่ Siam Cement Plc. เป็นผู้ช่วยเลขานุการฝ่ายวิศวกรรมศาสตร์ ทำอยู่ประมาณครึ่งปี ก็ค้นพบว่าอยากทำงานที่ท้าทายกว่านั้น .....

• Telecom Asia Plc. (ช่วงก่อนเปลี่ยนเป็น True ) คิดว่าจากงานเลขา เปลี่ยนเป็นงานขาย ก็คงท้าทายกว่าเดิมละน่ะ

แต่เป็นการขายเลขหมายโทรศัพท์ ทำได้ ครึ่งปี ก็ค้นพบ(อีกแล้ว) ว่า ทำไมไม่ท้าทายอย่างที่คิดเลย

หมายเหตุ : ตอนลาออก เข้าไปขอบคุณและลาเจ้านาย เจ้านายบอกว่า จำไว้อย่างว่าขายโฆษณา น่ะ ต่างจากขายกะปิ น้ำปลา อยากลองก็ลองดู ถ้าทำไม่ได้ก็กลับมาขายโทรศัพท์ ถึงตอนนี้ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว ฉันกลับไปที่ True อย่างสม่ำเสมอ แต่เป็นการกลับไปคารวะนายเก่าซึ่งปัจจุบันเป็นแฟนรายการตัวยง ของ “ โลก 360 องศา ”

• Max Media 95 Co.,ltd. เป็น ฝ่ายบริหารงานลูกค้า (Account Executive) ของบริษัทบริหารสื่อโฆษณาทางวิทยุ และ.... นี่แหละงานสุดยอดในฝันเลย ได้เจ้านายเก่ง มีความสุขกับงานที่ท้าทาย มีการแข่งขันสูง ต้องบริหารเวลาและความคิดอยู่ตลอดเวลา ผลตอบแทนคุ้มค่า ทำอยู่สามปีเต็ม ๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งก็คิดว่า เอาล่ะ มีอีกอย่างที่อยากทำ ก็คือสื่อโทรทัศน์ .... และถึงเวลาต้องออกมาเรียนหนังสือต่อได้แล้ว

• SPM Group การเข้าไปร่วมงานกับบริษัทนี้เป็นการเรียนรู้งานโทรทัศน์ครั้งแรก .... เรียนรู้พร้อม ๆ กับการเรียนปริญญาโท ที่ ABAC

• Platinum Creation Co.,ltd. by Paweena…… เรื่องของเรื่องก็คือ ช่วงที่เรียนที่ ABAC นั้น เศรษฐกิจไม่ดีเลย เลยอยากออกไปเรียนอย่างเดียว และได้ติดต่อทางมหาวิทยาลัย ทำเรื่องโอนหน่วยกิจไปที่ ไมอามี่ ที่อเมริกา (มีคณะเดียวกันนี้เปิดสอนอยู่) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะ วันหนึ่งด้วยต้องสะสางงานที่ค้างอยู่ที่บริษัทเดิมที่ทำอยู่ และต้องเซ็นต์เช็ค .... ก็มีลูกน้องคนหนึ่งถามว่า “ พี่ครับ พี่ไม่เปิดบริษัทหรือครับ ถ้าเปิด ผมจะมาอยู่ด้วย ” เชื่อมั้ยว่านั่นน่ะ เปลี่ยนเฟสชีวิตเลยนะ เพราะความรับผิดชอบ... ก็เปิด บริษัท Platinum Creation ที่เลือกชื่อนี้เพราะชอบความหมาย ความแข็งแกร่งและความงามของแร่ ดูดีได้ภายใต้ความเรียบง่าย เห็นอย่างไร ก็เป็นเช่นนั้น .... เปิดบริษัท ในปี 2000 ... ถึงตอนนี้ก็ เข้าปีที่เจ็ดแล้วล่ะ ... จากการเริ่มต้นของคนเพียงคนเดียว ต่อมา ขยายไปเรื่อย ๆ พ่อแม่เห็นว่า ดูถ้าจะแย่ถ้าปล่อยให้ทำคนเดียว ก็เลยให้น้อง ๆมาช่วย (ส้มเช้งเป็นลูกคนโตในครอบครัวมีน้องสาวหนึ่งคนน้องชายสองคน)

ดังนั้นในช่วงปี 2002-2005 ภาพของแพลตินั่ม กลายเป็นบริษัทครอบครัวอยู่ช่วงหนึ่ง .... จากนั้น ก็เริ่มปรับให้เข้าสู่องค์กรแบบมืออาชีพ โดยเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2006 เป็นต้นมาเริ่มโดยการสร้างทีมผลิตให้แข็งแกร่ง มีมาตรฐานที่สูง โดยมีพี่ไก่ (คุณนิธิ วติวุฒิพงษ์) เข้ามาร่วม ต่อมาก็มีพี่ปุ๊กอีกคน(คุณชิดชนก สูญสิ้นภัย )

หมายเหตุ : อ่านประวัติทั้งสองคนเพิ่มเติม

และยังมีมืออาชีพที่มีประสบการณ์หลากหลายจากวงการโทรทัศน์มาร่วมกว่าสิบชีวิต และนั่นคือโฉมหน้าล่าสุดในทีมผลิตซึ่งทำให้เราได้ความมั่นใจว่า คุณภาพงานที่เราผลิตทุกชิ้นมีคุณภาพและมีความถูกต้องแม่นยำในระดับแนวหน้าของเมืองไทย นอกเหนือจากความพร้อมด้านการผลิตแล้ว การรองรับงานด้านการตลาด วิธีการจัดการองค์กร ก็ถูกปรับปรุงเพื่อให้ทันสมัยและมีมาตรฐานที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน และนี่คือโฉมหน้าล่าสุดของ Platinum Creation ในปัจจุบัน เน้นความเป็นมืออาชีพ ในทุก ๆ องค์ประกอบ ทำงานเพื่อออกอากาศทั้งที่เมืองไทยและต่างประเทศ



2007 ….. Platinum ทำอะไรบ้าง

1 . รายการโลก 360 องศา ทำชุด “ รอยพระยุคบาทต่างแดน ”

2. รายการโทรทัศน์ “ ชิงสุขก่อนแก่ ”

3. รับผลิต content ให้กับองค์กรต่าง ๆ

4. เน้นการบริหารและการจัดการที่มีประสิทธิภาพองค์กร

ปวีณา สิงห์บูรณา นางสาวปวีณา สิงห์บูรณา

.........................................................................................ปวีณา สิงห์บูรณา (ส้มเช้ง)

ข้อมูลจาก http://www.plat360.com/manager_page/ps.php
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

สรยุทธ สุทัศนะจินดา


สรยุทธ สุทัศนะจินดา

สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกร และ ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 - ) เป็นพิธีกรและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ของประเทศไทย มีชื่อเสียงในการสัมภาษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยนำข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์มาอ่านในรายการโทรทัศน์ หรือที่เรียกว่า เล่าข่าว (News Talk)

ผลงานที่เป็นที่รู้จักได้แก่ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ คุยคุ้ยข่าว และ ถึงลูกถึงคน

ประวัติ

สรยุทธ สุทัศนะจินดา มีชื่อเรียกเล่น ๆ จากเพื่อนฝูงและหมู่คนที่นิยมชมชอบว่า ยุทธ, สรพิษ, ส., เผือก, เฮียสอ เกิดวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 เป็นบุตรของนางวิชชุดา สุทัศนะจินดา (แซ่โล้) เริ่มศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนเซนต์จอห์น แต่ถูกเชิญออกตอนประมาณ ม.1 เทอมปลาย จึงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ หลังจากนั้นเข้าศึกษาในโรงเรียนอำนวยศิลป์ เป็นรุ่นที่ 57 และจบการศึกษา นิเทศศาสตรบัณฑิต (วารสารศาสตร์) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยมอันดับที่หนึ่ง)

สรยุทธเริ่มทำงานเป็นนักข่าว สังกัดหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 โดยเงินเดือนเริ่มต้นในขณะนั้น คือ 4,000 บาท โดยทำข่าวสายรัฐสภาเป็นเวลาสองปี และทำข่าวสายทำเนียบรัฐบาล อีกสองปี ต่อมาในปี 2535 ได้ประจำในกองบรรณาธิการ ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง และในปี 2537 ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าข่าวการเมือง ในปี 2540 ได้มาเป็นบรรณาธิการข่าว และจัดรายการวิเคราะห์ข่าวให้สถานีโทรทัศน์ช่องต่าง โดยตำแหน่งหลังสุด ก่อนจะออกจากเครือเนชั่น คือ รองบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น

นอกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการแล้ว สรยุทธ ยังดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ผลิตรายการโทรทัศน์) และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด (รับจัดงานและกิจกรรม) ด้วย

ปัจจุบันสมรสแล้ว กับ เพียงจันทร์ ว่องวิชชุเวทย์ Freelance สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ แต่ยังไม่มีบุตร

ผลงาน สรยุทธ สุทัศนะจินดา

ปัจจุบัน สรยุทธ สุทัศนะจินดา
เรื่องเล่าเช้านี้ (ช่อง 3) คู่กับ กฤติกา ศักดิ์มณี, เอกราช เก่งทุกทาง, ปุณยวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์,สู่ขวัญ บูลกุล และ พชร ปัญญายงค์ (2 มิถุนายน 2546-ปัจจุบัน)
เรื่องเด่นเย็นนี้ (ช่อง 3) ช่วงเจาะข่าวเด่น (29 มกราคม 2550-ปัจจุบัน)
เรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ (ช่อง 3) คู่กับ สู่ขวัญ บูลกุล (5 มกราคม 2550-ปัจจุบัน)
จับเข่าคุย (ช่อง 3) (4 ตุลาคม 2546-ปี 2547 / 14 เมษายน 2550-24 ธันวาคม 2550 / 14 มกราคม 2551-ปัจจุบัน)
คอลัมน์ คุยนอกสนาม ในนิตยสารแพรว

อดีต สรยุทธ สุทัศนะจินดา
วิเคราะห์ข่าว โดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางไอทีวี (2539—2543)
เวทีไอทีวี ทางไอทีวี (2539—2543)
ฟังความรอบข้าง ทางไอทีวี (พิธีกรร่วม) (2539—2543)
ไอทีวี ทอล์ก ทางไอทีวี (ไม่ได้ทำประจำ) (2539—2543)
เก็บตกจากเนชั่น ทางเนชั่น แชนแนล (2543—พฤษภาคม 2546)
คมชัดลึก ทางเนชั่น แชนแนล (2543—2546)
ก๊วนกวนข่าว ทางเนชั่น แชนแนล
คอลัมน์ พูดจาประสาข่าว (คมชัดลึก)
คอลัมน์ คุยคุ้ยข่าว (คมชัดลึก)
กล่องวิเศษ ทางช่อง 3 (2 มกราคม 2546—25 กันยายน 2546)
ถึงลูกถึงคน ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (3 มิถุนายน 2546—29 ธันวาคม 2549)
คุยคุ้ยข่าว ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (3 เมษายน 2547—31 ธันวาคม 2549)

สรยุทธ สุทัศนะจินดา สรยุทธ สุทัศนะจินดา

ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

เสถียร จันทิมาธร

เสถียร จันทิมาธร

เสถียร จันทิมาธร ประวัติ เสถียร จันทิมาธร

ประวัตินักเขียน ชื่อ : เสถียร จันทิมาธร

ประวัติย่อ เสถียร จันทิมาธร

เสถียร จันทิมาธร เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2486 ในครอบครัวของครูชนบทชาวจังหวัดสุรินทร์ เสถียรเพาะนิสัยการอ่านมาจากบิดา จนกลายเป็นหนอนหนังสือตั้งแต่ยังเยาว์ สิ่งนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดทางความคิด ทำให้เขาเริ่มเขียนหนังสือและเริ่มมีงานตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่สมัยเรียน วค.สวนสุนันทา

การศึกษาในระบบครั้งแรกของ เสถียร จันทิมาธร เริ่มต้นที่โรงเรียนสุรวิทยาคาร จังหวัดสุรินทร์ จากนั้นก็ได้เปลี่ยนโรงเรียนอีกหลายแห่ง ในเขตจังหวัดภาคอีสานกระทั้งได้มาเรียนต่อที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา และไปจบการศึกษาสูงสุดที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร

ด้านประวัติการทำงานเสถียร จันทิมาธร เริ่มต้นการทำงานครั้งแรกที่หนังสือพิมพ์ “เสียงอ่างทอง” เมื่อปี 2506 เคยทำงานหนังสือพิมพ์สยามนิกร, “พิมพ์ไทย” “หนังสือพิมพ์สยามรัฐ” เคยร่วมทำนิตยสาร “วิทยาสาร” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ อีกหลายฉบับ ก่อนจะมาประจำอยู่ที่หนังสือพิมพ์มติชน กล่าวสำหรับ เสถียร จันทิมาธร แล้ว เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีนักอ่านคนใดไม่รู้จัก นั่นเพราะหลักการที่ยึดเอาความหลากหลายและสากลเป็นที่ตั้ง เขาเป็นบรรณาธิการที่เปิดโอกาสให้นักเขียนได้แสดงออกซึ้งอิสระทางความคิดอยู่เสมอไม่เคยมีขีดคั่นระหว่างนักเขียนเก่ากับนักเขียนใหม่ ซึ่งข้อนี้เองทำให้พื้นที่ของหนังสือพิมพ์มติชนกลายเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายตามไปด้วย นอกจากงานหนังสือพิมพ์และนิตยสารแล้ว ยังเป็นนักเขียนที่หาตัวจับยาก

นามปากกา

- เสถียร จันทิมาธร

เกียรติยศที่ได้รับ เสถียร จันทิมาธร
- ได้รับรางวัล “ศรีบูรพา” ประจำปี 2544

ข้อมูลจาก http://www.praphansarn.com/new/c_writer/detail.asp?ID=25
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มีชื่อเล่นว่า "คุณชายหมู"

หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร (22 กันยายน 2495 - ) รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นบุตรของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ (พระโอรสใน จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) และ หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา (นามสกุลเดิม ณ ถลาง) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มีชื่อเล่นว่า "คุณชายหมู"

หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร สมรสกับคุณนุชวดี บำรุงตระกูล มีบุตรคือ หม่อมหลวงพินิตพันธุ์ บริพัตร และสมรสกับ คุณหญิงสาวิตรี บริพัตร ณ อยุธยา (ภมรบุตร) มีบุตรคือ และหม่อมหลวงวราภินันท์ บริพัตร

ปัจจุบัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พำนักอยู่ที่ วังสวนผักกาด และเป็นประธานกรรมการ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์

ภายหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และมีการจัดตั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านพรรคเดียวได้ประกาศจัดตั้ง รัฐบาลเงา หรือ ครม.เงา ขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรค ให้ทำหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเงา

ประวัติการศึกษา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ณ โรงเรียน Cheam (ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าโรงเรียน) และโรงเรียน Rugby ประเทศอังกฤษ (ดำรงตำแหน่ง หัวหน้า House หรือสี และได้รับทุนการศึกษาเรียนดีเด่น) (พ.ศ. 2506-พ.ศ. 2513)

ระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 2 และปริญญาโท ณ Pembroke College มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เกียรตินิยม สาขา ปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (PPE) (พ.ศ. 2514 - พ.ศ. 2520)

ระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัย Georgetown ประเทศสหรัฐอเมริกาทางด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (พ.ศ. 2521

ประวัติทางการเมือง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคนำไทย ร่วมกับนายอำนวย วีรวรรณ เมื่อ พ.ศ. 2537 และเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคนำไทย

ต่อมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เข้าเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 6 (บางรัก สัมพันธวงศ์ สาทร แขวงยานนาวาและแขวงทุ่งมหาเมฆ) เมื่อปี พ.ศ. 2539 และ 2544

ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 24 ของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค และดูแลงานทางด้านต่างประเทศและความมั่นคง ในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2550 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบสัดส่วนโซน 6 กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี ลำดับที่ 3

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

พ.ศ. 2524 ตติยจุลจอมเกล้า ต.จ.ฝ่ายหน้าสืบสายสกุลจากพระบิดา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์
พ.ศ. 2529 ตริตาภรณ์มงกุฏไทย
พ.ศ. 2531 ทวีติยาภรณ์มงกุฏไทย
พ.ศ. 2535 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2540 ประถมาภรณ์มงกุฏไทย
พ.ศ. 2541 มหาวชิรมงกุฏ ม.ว.ม.
พ.ศ. 2542 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ม.ป.ช.

ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

มาริลิน มอนโร


มาริลิน มอนโร

มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) ชื่อเดิม นอร์ม่า จีน เบเกอร์ (1 มิถุนายน พ.ศ. 2469 - 5 สิงหาคม พ.ศ. 2505) เป็นอดีตนักแสดง นักร้อง นางแบบชื่อดัง ชาวอเมริกัน

ประวัติ มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe)

มาริลิน มอนโร คำว่ามาริลีนมาจากชื่อของดาราละครเพลงยุค 20 คือ มาริลีน มิลเลอร์ ส่วนมอนโร มาจากนามสกุลเดิมของคุณยายของเธอ จีน นอร์แมน คือชื่อที่ มาริลีน ใช้ขณะเป็นนางแบบ

มาริลิน มีมารดาเป็นโรคทางประสาท บิดาสาบสูญ เป็นเหตุให้ชีวิตช่วงวัยเด็กต้องอาศัยอยู่ตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อตอนอายุ 12 ปีเธอค้นพบว่าต้วเองมีแรงดึงดูดทางเพศอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่เธอสวมสเวตเตอร์พร้อมกับทาลิปสติกเป็นครั้งแรกไปโรงเรียน เธอเล่าว่าเมื่อเธอเดินเข้าไปในโรงเรียน นักเรียนชายต่างก็มองเธอเป็นตาเดียว บางคนก็ผิวปาก และบางคนก็เข้ามาหาเธอก็มี ในขณะที่นักเรียนหญิงต่างก็มองเธอด้วยความสนใจ และอิจฉาเธอ

เมื่ออายุ 16 ปี จึงเริ่มอาชีพนางแบบ ต่อมาก็เริ่มแสดงภาพยนตร์ซึ่งล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes (1953) เธอได้ค่าตัวอาทิตย์ละ 500 เหรียญ ในขณะที่ เจน รัสเซล ดารานำอีกคนได้ 200,000 เหรียญสำหรับภาพยนตร์ 1 เรื่อง แต่ตัวหนังทำเงินถล่มถลายและมาริลีนกลายเป็นดาราดังไปในทันที ในฉากที่เธอร้องเพลง Diamonds Are A Girls's Bestfriend ที่ถูกมาดอนน่าเลียนแบบในมิวสิกวิดีโอ Material Girl ก็นำมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์เรื่อง The Seven Year Itch (1955) มีฉากที่เป็นอมตะของเธอที่ถูกลมพัดจนกระโปรงขึ้นมา จากฉากนี้เป็นเรื่องราวทำให้เธอหย่ากับสามี (โจ ดิแมกจิโอ นักเบสบอลชื่อดัง)

ผลงานเพลง มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe)

นอกจากบทบาทการแสดงแล้วในภาพยนตร์แทบทุกเรื่องมักจะมีฉากที่ มาริลีน ร้องเพลงอยู่ด้วยเสมอ และเธอมักจะถูกพูดถึงเสมอในฉากร้องเพลง มาริลีนเคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจที่สุดในการแสดงอย่างใดๆ ก็แล้วแต่ การร้องเพลงและการแสดงประกอบเป็นสิ่งที่เธอถนัดที่สุด

เธอได้โชว์เสียงเป็นครั้งแรกกับเพลง Every Baby Needs A Da Da Daddy และ Anyone Can Tell I Love You ในภาพยนตร์เรื่อง La-dies Of The Chorus (พ.ศ. 2491) และในปี พ.ศ. 2493 กับ Oh,What A Forward Young Man You Are ในภาพยนตร์เรื่อง A Ticket To Tomahawk ซึ่งมาริลีนแสดงเป็นแค่ตัวประกอบ 1 ใน 3 สาวคอรัส ส่วนฉากที่เรียกได้ว่าทำให้ มาริลีน เริ่มกลายเป็น Sex symbol ส่วนนึงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Niagara (1953) ต่อมาเธอได้ร้องเพลง Two Littles Girls From Little Rock, Bye Bye Baby และ When Love Goes Wrong (Nothing Goes Right) ในภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes และต่อมาเพลงที่ถูกมาดอนน่าเลียนแบบไปใน Diamonds Are A Girls's Bestfriend และฉากที่ไม่มีใครลืมเธอเมื่อมาริลีน ร้องเพลง River Of No return กับเปียโนกับชื่อหนังเรื่องเดียวกันในปี 1954

และผลงานนอกจอคือการที่เธอไปร้องเพลง Happy Birthday To You ให้กับประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี ที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด็น เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน

เสียชีวิต

มาริลิน มอนโร เสียชีวิตที่ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา โดยแม่บ้านของมอนโรชื่อ ยูนิส มูร์เรย์ เป็นผู้พบเห็น เสียชีวิตเพราะใช้ยาเกินขนาด เป็นกรณีศึกษาการเสียชีวิตที่เหมือนกับกรณี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม

อิทธิพลต่อคนรุ่นหลัง

มาริลีน มอนโรมีอิทธิพลกับดาราและศิลปินมากมาย นอกจากมาดอนน่า แล้ว เอลตัน จอห์นเคยร้องเพลงอุทิศให้กับเธอมาแล้วกับ Candle In The Wind ในปี 1973 แต่งเนื้อโดย Bernie Taupin เนื้อหาก็เปรียบชีวิตของมาริลีน เหมือนเปลวเทียนและอุปสรรค ความเหงา โดดเดี่ยว ก็เหมือนสายลมที่เป่าจนเทียนดับลงไป

ผลงานภาพยนตร์ มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe)

พ.ศ. 2491 - เลดี้ ออฟ เดอะ คอรัส
พ.ศ. 2492 - เลิฟ แฮปปี้
พ.ศ. 2493 - เดอะ แอสฟัลต์ จังเกิ้ล
พ.ศ. 2495 - แคลช บาย ไนท์
พ.ศ. 2496 - เนียอะการา
พ.ศ. 2497 - ริเวอร์ ออฟ โน รีเทิร์น
พ.ศ. 2499 - บัส สต๊อป
พ.ศ. 2500 - เดอะ ปริ๊นซ์ แอนด์ เดอะ โชว์เกิร์ล
พ.ศ. 2502 - ซัม ไลท์ อิส ฮอต
พ.ศ. 2503 - เลส เมค เลิฟ
พ.ศ. 2504 - เดอะ มิสฟิทธ์
พ.ศ. 2505 - ซัมทิง ก๊อท ทู กิฟ (ถ่ายทำไม่สำเร็จ)

มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

บุคคลสำคัญ

บุคคลสำคัญ ประวัติบุคคลสำคัญ บุคคลสำคัญของโลก รวมเว็บ รายนามบุคคลสำคัญของโลก และ รายนามบุคคลสำคัญของโลกชาวไทย

ประวัติบุคคลสำคัญในประเทศไทย - http://www.pcccr.ac.th/M6R11.htm

ประวัติบุคคลสำคัญในประเทศไทย
บุคคลสำคัญในประเทศไทย - http://webindex.sanook.com/social_and_people/biography/

รวมเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลด้านชีวประวัติการศึกษา แนวความคิด ปาฐกถาที่สำคัญ กิจกรรมเพื่อสังคม ผลงานต่างๆ ทางสังคม การทำงานที่น่ายกย่อง ของบุคคลสำคัญต่างๆ
ประวัติบุคคลสำคัญ . - http://directory.narak.com/people_social/famous/

บุคคลและสังคม ประวัติบุคคลสำคัญ ประวัติบุคคลสำคัญ -
บุคคลสำคัญ ทั่วไทย - http://www.tourthai.com/directory/?c=367

ประวัติ และผลงานบุคคลสำคัญของไทย เช่น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ,สืบ นาคะเสถียร - Read more
เว็บประวัติบุคคลสำคัญ - http://webindex.kapook.com/people_social/famous/

ประวัติบุคคลสำคัญ บุคคลและสังคมประวัติบุคคลสำคัญ เว็บประวัติบุคคลสำคัญ
ประวัติศาสตร์ไทย บุคคลสำคัญ - http://www.baanjomyut.com/library/history.html

ประวัติศาสตร์สากล-บุคคลสำคัญ. ประวัติศาสตร์ไทย-บุคคลสำคัญ · วิทยาศาสตร์-ดาราศาสตร์ - Read more
บุคคลสำคัญไทย - http://www.vcharkarn.com/vlearn/?catid=151

บุคคลสำคัญไทย | บุคคลสำคัญ ต่างชาติ
บุคคลสำคัญของโลก - http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81

รายนาม บุคคลสำคัญ ของโลก
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ - http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88:%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B

บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ - คลังปัญญาไทย
บุคคลสำคัญของไทย - http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

รายชื่อ บุคคลสำคัญ ของไทย
บุคคลสำคัญ - http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-6/no03-07/person/index.html

เว็บไซต์ บุคคลสำคัญ ของโลก. โดยเนื้อหาของเว็บไซต์นี้จะกล่าวถึงบุคคลต่างๆ ที่โลกให้การยอมรับและยกย่อง
โชคชัย บูลกุล - http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000117616

โชคชัย บูลกุล เซียนสะสม สวารอฟสกี้ ระดับโลก

กำปั้น บาซู

กำปั้น บาซู

กำปั้น บาซู แก้ผ้า ถ่ายปฏิทิน

ฮือฮา “กำปั้น บาซู” สลัดผ้า ถ่ายปฏิทิน เผยของจริงล้วนๆ ไม่มีงัดเป้ง เจ้าตัวหวั่นถูกด่า สาหร่าย เข้มไปหน่อย ยอมรับทำไปเพราะหวังสร้างกระแสให้มีงานทำ

หลังจากที่ตกเป็นข่าวเรื่องติดพนันเมื่อหลายปีก่อน “กำปั้น บาซู” คริชณะ พาณิชย์พงส์ (เอกประพันธ์ พาณิชย์พงส์) ก็ห่างหายไปจากวงการหลายปี โผ่ลมาอีกทีเจ้าตัวก็ตัดสินใจถ่าย ปฏิทินสุดสยิว งานนี้เจ้าตัวยอมรับตรงๆ ว่า อยากสร้างกระแสให้ตัวเองมีงานทำ

“ก็เขินเหมือนกันเพราะว่ามันถอดน้อยชิ้น ที่จริงแล้วตอนถ่ายจะมีผู้ชายสองคนแก้ผ้าด้วย(หัวเราะ) เพราะว่าเขาต้องการมีฉากหลังเป็นก้นผู้ชาย ก็แก้ผ้าถ่ายเลยผมก็โอ้โห.... แต่ว่าในปฏิทินไม่มีตัดออก ส่วนผมไม่ได้ถ่ายถึงขนาดนั้น เราคุยๆ กันก่อนแล้วว่ามีลิมิตได้เท่านี้”

“ซึ่งตอนแรกๆ ทางทีมงานเขาอยากได้เป็นกางเกงใน แต่ผมมีลิมิตแค่บ็อคเซอร์ ฉะนั้นกางเกงในก็ต้องขอไว้ก่อนแล้วกัน เพราะว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้หวังที่จะเอาดีทางด้านนี้เราต้องการที่จะสร้างกระแสเพื่อที่จะได้มีงานละครงานอื่นๆ ต่อๆไป งานเดินแบบถ่ายแบบหวังอย่างนั้นมากกว่าไม่ได้หวังแบบเป็นนิ๊กกี้ 2(สุระ ธีรกล).... ไม่คิดอย่างนั้นไม่คิดที่จะต้องมานั่งงัดเป้งขนาดนั้น(หัวเราะ)

ถึงแม้จะไม่ได้ใส่กางเกงในโชว์ของดีแบบเต็มๆ แต่เจ้าบ็อกเซอร์ฟิตเปรี๊ยก็ถูกดึงลงมาต่ำเผยให้เห็น “ขน” แพลมออกมาจนเจ้าตัวบ่นว่า “น่าเกลียด”
“ผมไม่รู้ว่าเขาะจดึงลงขนาดนี้ รู้ว่าแค่เขาต้องการให้เห็นนิดนึง นิดนึงก็คือว่าเราดูตามหนังสือแฟชั่นมันจะมีนิดเดียว แต่นี่มันเยอะมากเพิ่งเห็นในรูปวันนี้ ก็งงว่าทำไมมันเยอะจัง ก็ไปถามช่างพวกฝ่ายรีทัชว่าเพิ่มหรือเปล่า เขาก็บอกไม่ได้เพิ่ม คือของเราเองก็เยอะ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าโผล่มาเยอะ จุดขายของหนังสือพวกนี้มันก็ต้องมีจุดขายแบบนี้เราไม่ได้ขายงัดเป้งเราก็ต้องขายตรงนี้นิดนึง เขาก็ดึงลงมานิดหน่อย เราก็เข้าใจ แต่ไม่คิดว่ามันจะออกมาขนาดนี้”

“แต่จะไปโทษเขาก็ไม่ได้หรอก แต่ว่ามันก็ออกมาก็เยอะไปหน่อย ถ้ารู้แบบนี้น่าจะโกนมาเราไม่ได้เตรียมพร้อมเอง”

ยอมรับว่าพลาดที่ไม่ได้ไปเลือกรูปเอง เนื่องจากไว้ใจทีมงาน
“ผมค่อนข้างไว้ใจเพราะทีมที่ทำอาร์ตก็รู้จักกัน และทีมนี้ก็ทำหนังสือให้นิกกี้ ผมก็สนิทกับนิกกี้ก็ไว้ใจกัน จริงๆ ผมก็ชอบนะไม่ได้โกรธอะไรที่ออกมาเป็นแบบนั้น แค่ว่ามันจะดูอนาจารหรือเปล่า คนจะด่าหรือเปล่า กลัวโดนด่าว่าสกปรก”(หัวเราะ)

เผย “ของจริง” ล้วนๆ งานนี้ไม่มียัด !
“ไม่มียัดแน่นอนถ้ายัดมันต้องเป็นลำกว่านี้(หัวเราะ) ไอ้ภาพที่สองผมยังงงเลยมันก้อนอะไร ผมถ่ายครั้งแรกผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร พอถ่ายเสร็จแล้วถึงมีคนมาบอกว่า จริงๆ แล้วถ่ายพวกนี้เค้าต้องมียัดนะ ต้องมีงัด แต่เราก็ไม่รู้แต๊บเอาไว้เลย ซ่อนเอาไว้แต๊บเอาไว้”

“แต่บางคนเค้าถ่ายเค้าจะหงายเพื่อให้ภาพออกมาดูนูน แต่เราแต๊บเอาไว้ คือทีมงานเขาก็ค่อนข้างเกรงใจเหมือนกัน เขาก็มือใหม่เราก็มือใหม่กันหมดไม่ใช่มืออาชีพ ถ้าเป็นมืออาชีพก็คงจะโดนมากกว่านี้ แต่ถ้าเขาบอกให้ผมงัดผมก็ต้องงัด เพราะถ้าคิดจะทำงานตรงนี้มันก็ต้องชัดเจน แต่พอเขาไม่บอกเราก็ไม่กล้า เราก็เขิน”

“ผมคงไม่ขนาดนิกกี้หรอก อันนั้นเขาเต็มที่มาก เขา 9X9 เขาเป็นเจ้าพ่อ ก่อนหน้านี้ก็คุยกับนิกกี้ เขาก็บอกว่าจริงเหรอ เราก็เออแต่คงไม่แรงเท่ามึงหรอก เขาก็ไม่ได้บอกเทคนิคอะไรหรอกมีแต่แซวๆ ว่ามึงจะเป็นพวกกูเหรอ”(หัวเราะ)

ไม่อาย ถ้าใครจะมองว่าเป็นเจ้าพ่อนู้ดเหมือน “นิกกี้”
“ผมยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อะไรก็ได้ถ้าทำให้เรามีกระแส มันเป็นข่าวก็ยังดีกว่าข่าวผมไปติดการพนันบอล หรือว่าผมไปขายตัว ซึ่งที่ผ่านมาผมก็เจอข่าวมาเยอะแล้วเรื่องแค่นี้ผมไม่ซีเรียส และมันก็เป็นงานๆ หนึ่ง ซึ่งเราก็ตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้นอยู่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ และถ้าใครจะติดต่อให้ถ่ายอีกก็ทำครับ แต่ว่าจะโกนให้มันเหลือน้อยลง(หัวเราะ) อันนี้มันดูเข้มมาก ดูแล้วมันดูสกปรกไป ก็รับได้ครับถ้าจะต้องทำงานแบบนี้อีก”

รับได้กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่กลัวโดนด่าเรื่องสาหร่ายซะมากกว่า
“ตอนที่นิกกี้ถ่ายมันยังใหม่อยู่ เขาถ่ายเป็นคนแรกๆ เลย และเขาก็แรงกว่าผมนะ แต่ถ้าผมจะโดนด่าก็คงจะโดนด่าเพราะสาหร่ายนั่นแหละ แต่ถ้าใครจะด่าก็ด่าไปเพราะถ้าไม่ด่าก็ไม่ดังนะ ก็ปล่อยๆ ไปตามสบาย”

ยอมรับว่าถ่ายเพราะอยากสร้างกระแสให้มีงานทำ
“สำหรับค่าตัวก็ไม่เยอะครับเหมือนถ่ายอิมเมจถ่ายแฟชั่นทั่วไป แต่เราก็ไม่ได้หวังว่าจะเป็นกอบเป็นกำกับหนังสือเล่มนี้ แต่หวังเรื่องกระแสตามมาที่จะทำให้เรามีงานมากกว่า ตรงนี้ทำให้เราเต็มที่เลย ต่างคนก็ต่างมือใหม่ ก็มาคุยกันมาร่วมมือกัน ทางเขาเองเครื่องมือเครื่องไม้เขาก็ต้องจ้างต้องลงทุนเยอะ เราก็อยากจะทำงานให้ดีให้เต็มที่เพื่อที่จะทำให้ภาพออกมาดูดี ทำให้เรามีงานมีกระแสต่อ”

“แต่ที่ผ่านมาก็มีติดต่อให้ถ่ายแบบนี้ค่อนข้างเยอะ บางคนก็บอกให้ทำเอง แต่อย่างที่บอกว่าไม่อยากให้ชัดเจนกับภาพตรงนี้ ใจเราก็อยากร้องเพลง อยากมีอัลบั้ม อยากมีละคร แต่ว่าทีผ่านมาไม่มีโอกาส เราไปขายเพลงผู้ใหญ่ก็ไม่เอาบอกว่าเราตกกระแส เล่นละครก็ได้แต่บทที่แบบว่า เล่นเท่าไหร่ก็ไม่เวิร์คเพราะเราก็ไม่มีกระแสไม่มีผลงานเหมือนเราเอาท์ออกไปแล้ว ก็เลยลองตรงนี้ก็หวังว่าจะให้เราได้สร้างกระแส ก็ใจกล้านิดนึง ก็อาจจะทำให้มีกระแสและมีงานต่อๆ ไป”

การสลัดผ้าถ่ายภาพปฏิทินครั้งนี้ของ “กำปั้น” อาจจะได้รับความสนใจในแง่ของความสด ถ้าวัดดีกรีจากความแรงยังนับว่าน้อยกว่า “นิกกี้” เยอะ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ถ้าคิดจะเกิดทำไมไม่ใจกล้าแบบนิกกี้ไป
“ใจอยากทำนะพี่ แต่ว่าผมห่วงภาพ เพราะยังอยากเล่นละครร้องเพลง ถ้าเราถ่ายแรงไปเล่นละครมันไม่ได้ ก็ปรึกษากับพี่ๆ ที่รู้จักกันเขาก็บอกว่า ถ้าแรงไปผู้ใหญ่ช่อง 3 ก็ไม่เอานะ ช่อง 7 ก็ไม่เอานะ เราก็เลยทำแค่นี้
พอให้เป็นกระแสจะได้มีงาน”

“ตอนนี้ไม่มีงานติดต่อมาเลยครับ แต่ว่าช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมาผมค่อนข้างโชคดีที่มีทัวร์ต่างประเทศบ่อย ผมไปก็จะแบบไม่ค่อยถือตัวก็จะเต้นสนุกสนานเขาก็เลยจ้างเราบ่อย ทุกวันนี้อยู่ได้ก็เพราะคอนเสิร์ตต่างประเทศ นอกจากนั้นก็มีธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าพึ่งเริ่มทำกับพี่สาวก็ค่อนข้างจะดี”

“รายได้ก็พอมีพอใช้เราไม่ใช่ดาราดังค่าตัวเวลาไปโชว์ก็ไม่ได้มากอยู่แล้ว ก็โอเคสนุกสนานพอใช้ได้ แต่ว่าสิ่งที่ทำตรงนี้คืออยากทำงานในวงการบันเทิง เพราะผมเป็นคนที่รักการร้องเพลงและก็อยากเล่นละคร ก็คิดอยู่ว่าทำไงเราถึงจะได้ทำเพราะเราก็อายุมากแล้วนะ โค้งสุดท้าย(หัวเราะ) อนาคตอยากจะเป็นโปรดิวเซอร์ก็อยากจะสร้างเครดิตให้กับตัวเองด้วย เพราะที่ผ่านมาเครดิตของตัวเองมันเสียไปแล้ว”

เผยที่ผ่านมาถึงจะมีรายได้ลดลงแต่ก็ไม่คิดจะขายตัวเหมือนที่ตกเป็นข่าว
“จริงๆ แล้วก็มีติดต่อเข้ามาตลอดแหละครับ ยิ่งเราอยู่วงการแบบนี้ก็ยิ่งมีคนเข้ามา แต่ว่าเราก็ต้องทำตัวเราให้ชัดเจนว่าเราคุยกับเขายังไง เราไม่ต้องการเรื่องชู้สาวก็ต้องบอกให้เขาชัดเจน ก็มีทุ่มเงินมาเยอะพอสมควรแต่พอเราไม่เล่นด้วยเขาก็ไป คือจะหลักแสนหลักล้านก็ไม่เอา”

“ยิ่งช่วงที่มีข่าวเรื่องการพนันบอลช่วงนั้นจะเข้ามาเยอะมาก ผมไปทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศก็จะมีแต่คนมาถามว่าออฟไหมออฟไหม ซึ่งตอนนั้นผมรู้สึกเจ็บมากเลยนะ จนแบบว่าเอาวะ จะเอาแ-งเลยดีไหมประชดแ-งเลยดีไหม คือคนเรามันมีฉุกคิดนะเวลาที่กดดันมากๆ แต่ผมคิดว่าคนเราศักดิ์ศรีมันสำคํญนะ เราไม่จำเป็นต้องเอาเงินพวกนั้น เราไมได้ต้องการสบายมากมายเอาแค่พอกินพอใช้ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีรถขับมีบ้านหรือสร้างฐานะอะไรมากมาย ผมเป็นคนที่ค่อนข้างติดดินขึ้นรถแท็กซี่กินข้าวข้างทาง มีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น”

กำปั้น บาซู กำปั้น บาซู กำปั้น บาซู กำปั้น บาซู กำปั้น บาซู Bazoo

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ธันวาคม 2551 00:11 น.

ไมเคิล แจ็กสัน

ไมเคิล แจ็กสัน พูดไม่ได้ ตาซ้ายเกือบบอด

ไม่ใช่ปีที่โชคดีสำหรับ"ไมเคิล แจ็กสัน"นักร้องซูเปอร์สตาร์ชื่อดังของโลกซะแล้ว ที่ล่าสุดเจ้าตัวต้องเผชิญกำวิกฤติการเงิน จนต้องเสียเนเวอร์แลนด์ดินแดนแสนรักและต้องขึ้นศาลต่อสู้กับเจ้าชายอาหรับ

แต่เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับที่ต้องมารู้ว่าสุขภาพร่างกายของราชาเพลงป็อปย่ำแย่ขนาดไหน เพราะตาหนึ่งข้างของเขาแทบจะมืดสนิทแล้ว แทบจะพูดไม่ได้ และยังต้องปลูกถ่ายปอดเนื่องจากสภาพปอดย่ำแย่

เอียน ฮัลเปอริน ได้กล่าวว่า "เขาต้องการการปลูกถ่ายปอด แต่บางทีเขาอาจจะอ่อนแอเกินไปที่จะทำเช่นนั้น"

"นอกจากนั้นเขายังมีอาการผิดปกติอย่างเรื้อรังของปอดเนื่องจากถุงลมโป่งพองและขาดการยืดหยุ่น รวมถึงยังมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหารด้วย ซึ่งแพทย์ต่างก็ระบุว่าร่างกายเขามีปัญหาหลายอย่าง อาการเลือดออกเป็นอาการที่ยากต่อการแก้ไขมากที่สุดซึ่งมันอาจจะฆ่าเขาได้เลยทีเดียว"

ฮัลเปอริน ยังระบุด้วยว่าซูเปอร์สตาร์วัย 50 ปี ต้องทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องจากอาการที่เรียกว่า A1AD หรือที่เรียกว่า อาการผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เขาทรมานจากการร่างกายขาดโปรตีนที่ช่วยในการป้องกันปอด

"เขาพูดไม่ค่อยได้ ความสามารถในการมองเห็นที่ตาด้านซ้ายของเขาไม่เหลือแล้วมันบอดเกือบ 95% แล้ว หลายปีมานี้ไมเคิลต้องทำงานร่วมกับทีมแพทย์อย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าอาการจะไม่รุนแรงไปมากกว่านี้"

"เขาต้องได้รับการรักษาด้วยยาหลายขนานเพื่อทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้"

ไมเคิล ถูกถ่ายภาพขณะที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพี่ชายของเขาก็ยืนยันเรื่องอาการป่วยครั้งล่าสุดนี้ของไมเคิลเช่นกันโดยระบุว่า "ตอนนี้สุขภาพเขาไม่ดีเลย มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเท่าใดนัก"

นักร้องดังต้องการเงินจำนวนมากมายมหาศาลเขาจึงต้องขาย เนเวอร์แลนด์ สถานที่สุดรักของเขาไป

แม้กระทั่งถุงมือแวววาวที่คุ้นตาคนทั่วโลก ที่ปรากฏในวิดีโอ Billie Jean ก็จะถูกส่งไปเคาะราคาประมูลในปีหน้าพร้อมกับทรัพย์สินส่วนตัวอื่นๆของเขาอีกกว่า 2,000 รายการ

ทรัพย์สินของแจ็กสันจะมีการจัดโชว์ก่อนที่จะมีการประมูลโดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.

แจ็กสัน ยังวางแผนที่จะแบ่งรายได้บางส่วนให้กับ MusiCares องค์กรการกุศลที่จัดตั้งโดย Recording Academy เพื่อช่วยศิลปินที่ต้องการความช่วยเหลือ

ไมเคิล แจ็กสันเริ่มมีปัญหายุ่งยากในชีวิตโดยเฉพาะทางการเงินนับตั้งแต่ที่เขาโดนฟ้องร้องเรื่องล่วงละเมิดทางเพศเด็กเมื่อปี 2003 แม้ว่าเขาจะมีปัญหาทางด้านการเงินแต่ก็มีรายงานว่าเขายอมที่จะเช่าบ้านหนึ่งในหลังที่มีราคาแพงที่สุดของลอสแองเจลิส โดยมีค่าเช่าสูงถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือนเลยทีเดียว

โดยบ้าน Holmby Hills ราคา 38 ล้านเหรียญมี 7 ห้องนอน 13 ห้องน้ำ 12 เตาผิง มีห้องฉายภาพยนตร์ เกสท์เฮาส์ และ สระว่ายน้ำรวมถึงสวนสวยด้วย

แม้ว่าเขาจะเคลียร์คดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเดือนที่แล้วเขาต้องเผชิญกับคดีละเมิดสัญญาจนต้องจ่ายกว่า 7 ล้านเหรียญ เท่านั้นยังไม่พอล่าสุดเขาต้องถูกฟ้องร้องจากผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็นภรรยาของเขาโดยเธอเรียกตัวเองว่า บิลลี จีน แจ็กสัน และยังระบุว่าตนเองนั้นเป็นแม่ของปริ๊นซ์ ไมเคิล ที่สองลูกชายคนเล็กของนักร้องซูเปอร์สตาร์ดังด้วย

โดยงานนี้เธอเรียกร้องเงินเป็นจำนวนเงินเกือบ 38 ล้านบาท และ ยังเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกร่วมกับเขาด้วย

ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล แจ็กสัน ไมเคิล แจ็กสัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ธันวาคม 2551 02:46 น.

ไอโฟน

ไอโฟน ทรูมูฟ ประกาศขาย ไอโฟน 3G iPhone 3G

"ทรูมูฟ"ประกาศขาย ไอโฟน3G (iPhone 3G) ในไทย วันที่ 16 มกราคม 2552 ซึ่ง ไอโฟน3G เป็นโทรศัพท์ที่ผสมผสานคุณสมบัติล้ำสมัยของตัวเครื่องผนวกกับเครือข่าย 3G และ Wi-Fi ที่ให้ความสะดวกสบาย และความรวดเร็วในการใช้งาน รวมทั้งมี GPS ในตัว เพื่อขยายการให้บริการระบุตำแหน่งผ่านมือถือ และซอฟต์แวร์ของ ไอโฟน เวอร์ชัน 2.2 ที่รองรับทั้ง Microsoft Exchange ActiveSync และการใช้งานของแอปพลิเคชันเสริมจำนวนมากใน Apple App Store

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรูมูฟ จำกัด กล่าวว่า ทรูมูฟรู้สึกยินดีที่ได้นำนวัตกรรมไอโฟน3G เข้ามาให้บริการแก่คนไทย และการเปิดตัวขอไอโฟน3G ครั้งนี้ แสดงชัดถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มทรูที่จะให้บริการ 3G ในประเทศ เพื่อให้ประชาชนผู้สนใจสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติ และความสามารถที่โดดเด่นด้านบริการอย่างเต็มที่”

ทรูมูฟ ประกาศเปิดให้ผู้ที่สนใจลงทะเบียนสั่งจองเครื่องโทรศัพท์ไอโฟน3Gครั้งแรกอย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ www.truemove.com หรือ www.weloveshopping.com เฉพาะผู้ที่มีการลงทะเบียนสั่งจองสมบูรณ์ครบถ้วนเท่านั้น จะสามารถมารับเครื่อง iPhone 3G ได้ในงานเปิดตัวที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 – 18 มกราคม 2552 ณ ห้อง Royal Paragon Hall ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

สำหรับราคาและตารางแพกเกจเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวของ iPhone 3G ในประเทศไทย ทรูมูฟขอมอบข้อเสนอพิเศษ 24 เดือนสำหรับโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้โดยเฉพาะ ผู้สนใจสามารถสมัครแพกเกจ ทรูมูฟไอโฟน3G ได้

โดยลูกค้าที่ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ จ่ายเพียงค่าเหมาจ่ายรายเดือนและค่าใช้จ่ายตามแพคเกจที่เลือก ด้วยแพคเกจเริ่มต้นที่ 1,399 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 24 เดือน ราคาข้อเสนอพิเศษเหล่านี้ ประกอบด้วยหลากหลายทางเลือกตามความต้องการและการใช้งานของลูกค้า ทั้งการใช้งานสำหรับการโทร การเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งการเชื่อมต่อ Wi-Fi

ซึ่งหากคำนวณจากค่าแพกเกจเริ่มต้น หมายความว่าผู้ซื้อ ไอโฟน3G รุ่น 8GB จะต้องเสียเงินทั้งสิ้น 35,775 บาท ส่วนในรุ่น 16GB จะอยู่ที่ 39,275 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่อนจ่ายเป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อเทียบราคากับเครื่องที่จำหน่ายอย่างผิดกฏหมายในประเทศไทยราคาจะอยู่ประมาณ 23,000 - 30,000 บาท

ไอโฟน ทรูมูฟ ไอโฟน 3G iPhone 3G
ไอโฟน ทรูมูฟ ไอโฟน 3G iPhone 3G

ข้อมูลจาก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 ธันวาคม 2551 18:22 น.

บาคุกัน

บาคุกัน

บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ

บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ (「爆丸バトルブローラーズ」, Bakugan Batoru Burōrāzu ทับศัพท์จาก Bakugan Battle Brawlers อ่านว่า บรอว์เลอรส์, 爆丸バトルブローラーズ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งนำตัวของเล่นบาคุกัน ที่จำหน่ายโดยเซก้า มาดัดแปลงเนื้อเรื่องและสร้างเป็นอะนิเมะ ออกอากาศเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2550 ถึงวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 มีความยาวทั้งหมด 51 ตอน[1] ในประเทศไทยได้ออกอากาศทางเคเบิลทีวี ทรูวิชั่นส์ ช่องทรู สปาร์ค และจัดจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดยบริษัท ดรีมเอกซ์เพรส จำกัด (เดกซ์) ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ได้ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เวลา 9.00-9.30น เป็นต้นไป

เรื่องย่อ บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ

ในวันหนึ่ง ทั่วทั้งโลกก็มีการ์ดแปลกประหลาดลอยลงมาจากท้องฟ้า แล้วจู่ๆ ก็มีมอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมาจากการ์ด และทำการต่อสู้กัน ซึ่งพวกเด็กๆ ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก พวกเขาเรียกมอนสเตอร์เหล่านั้น ซึ่งในเวลาปกติจะอยู่ในสภาพของลูกกลมๆ ว่า "บาคุกัน" นอกจากนี้ยังได้รวมกลุ่มกันพูดคุยทางอินเทอร์เน็ต และตั้งกติกาการเล่นบาคุกันขึ้นมา โดยผู้นำของเด็กๆ ทั้งหมดก็คือ กลุ่มเด็ก 6 คน ที่เรียกตัวเองว่า "แบทเทิลบรอลเลอร์"

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ นากา บาคุกันผู้มีจิตใจชั่วร้าย ต้องการที่จะครอบครองอินฟินิตี้คอร์ และไซเลนท์คอร์ ซึ่งเป็นแก่นค้ำจุนโลกเวสโทรเอียของเหล่าบาคุกันไว้ ส่งผลให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อไซเลนท์คอร์ ได้ดูดกลืนนากาเข้าไป โลกเวสโทรเอียจึงเริ่มเกิดการล่มสลาย และหายนะนั้นก็กำลังจะลุกลามมาถึงโลกมนุษย์ด้วย เหล่าแบทเทิลบรอลเลอร์จึงต้องพยายามต่อสู้เพื่อช่วยเหลือโลกมนุษย์ และหยุดยั้งการล่มสลายของเวสโทรเอียให้ได้

ตัวละครหลัก บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ

คูโซ ดันมะ (空操 弾馬)
เด็กชายอายุ 11 ปี ตัวเอกของเรื่อง หนึ่งในกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ มีชื่อเล่นว่า ดัน (ダン) เป็นนักเล่นบาคุกันธาตุไฟ มีนิสัยเลือดร้อน ชอบลงมือทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี เมื่อก่อนดันเคยได้แต่สนุกกับการเล่นบาคุกันในฐานะของเล่นธรรมดาๆ โดยไม่เคยรับรู้หรือสนใจว่าสภาพของบาคุกันที่ถูกใช้ในการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ต่อมาเมื่อได้พบกับดราโก้ ดันจึงเข้าใจว่าแท้จริงแล้วบาคุกันมีชีวิต หลังจากนั้นดันก็ให้ความสำคัญกับบาคุกันมากขึ้น และต่อสู้ร่วมกับดราโก้หลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นคู่หูที่รู้ใจกันเป็นอย่างดี
มิซากิ รูโนะ (美咲 琉乃)
เด็กหญิงอายุ 11 ปี หนึ่งในกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ เป็นนักเล่นบาคุกันธาตุแสง มีนิสัยชอบเอาชนะ สมัยเด็กๆ ที่เพิ่งย้ายบ้านมา รูโนะเคยเป็นคนโดดเดี่ยว เอาแต่คิดว่าตัวเองจะไม่มีทางหาเพื่อนได้ แต่เมื่อได้พบและได้เล่นกับดัน (ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้จักกัน) เธอจึงเริ่มร่าเริงขึ้น ภายหลังเมื่อได้มารู้จักกันอีกครั้ง ในฐานะเพื่อนร่วมกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ รูโนะก็แอบชอบดันมาโดยตลอด แต่ด้วยความที่เป็นคนปากแข็ง เธอจึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร จนกระทั่งถึงตอนที่เข้ารับการทดสอบกับ ลาซลีออน ในเดธไดเมนชั่น[2]
มารุคุระ โจจิ (丸蔵 兆治)
เด็กชายอายุ 10 ปี หนึ่งในกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ มีชื่อเล่นว่า มารุโจ (マルチョ) เป็นนักเล่นบาคุกันธาตุน้ำ พูดจาไพเราะ มีหางเสียงลงท้ายทุกคำ เนื่องจากบ้านของมารุโจเป็นตระกูลมหาเศรษฐี จึงสามารถสร้างบ้านหลังใหม่ขนาดใหญ่โตได้ เพียงเพราะต้องการย้ายมาอาศัยอยู่เมืองเดียวกับดันและรูโนะ[3]
ในอดีตมารุโจเป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บกด ต้องยอมทำทุกอย่างตามที่พ่อแม่ต้องการ ไม่เคยได้ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ แม้ในใจจะเป็นทุกข์ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มเอาไว้เสมอ จนกระทั่งได้มาพบกับพวกดัน มารุโจจึงเปลี่ยนไป เริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากขึ้น[4]
คาซามิ ชุน (風見 駿)
เด็กชายอายุ 11 ปี หนึ่งในกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ เป็นนักเล่นบาคุกันธาตุลม มีนิสัยเยือกเย็น เป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็กและคู่แข่งคนสำคัญของดัน อีกทั้งยังเป็นคนที่คิดกติกาการเล่นส่วนใหญ่ของบาคุกันร่วมกับดันด้วย อดีตเคยเป็นถึงนักเล่นบาคุกันมือวางอันดับ 1 ของโลก แต่หลังจากที่แม่เสียชีวิตไป ชุนก็ย้ายไปอาศัยอยู่กับตา และเลิกเล่นบาคุกันไปพักใหญ่ๆ ส่งผลให้อันดับโลกลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่สนใจ จนแมสเคอเรดปรากฏตัวขึ้น ชุนจึงได้กลับมาร่วมต่อสู้กับพวกดันอีกครั้ง[5]
จูลี่ เฮย์วาร์ด (ジュリィ・ヘイワード)
หรือ จูลี่ มาคิโมโตะ (Julie Makimoto) ในภาคภาษาอังกฤษ
เด็กหญิงอายุ 12 ปี หนึ่งในกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ เป็นนักเล่นบาคุกันธาตุดิน จูลี่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก เนื่องจากเป็นชาวอเมริกัน เธอชอบดันมาก โดยจะเรียกดันว่า "ดาร์ลิ้ง" และแสดงความออดอ้อนอย่างออกนอกหน้าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขัน จูลี่ก็เป็นคนหนึ่งที่พึ่งพาได้ นอกจากนี้ยังชอบอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ยากๆ อีกด้วย[6]
อลิซ เกฮาบิช (アリス・ゲーハビッチ)
เด็กหญิงอายุ 14 ปี หนึ่งในกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ แม้จะเป็นคนที่รู้เรื่องบาคุกันมากที่สุดในกลุ่ม แต่อลิซก็ไม่ได้ร่วมเล่นบาคุกันเหมือนกับคนอื่นๆ เธอจะคอยให้คำแนะนำกับพวกดันมากกว่า หลังจากที่รู้ว่า ดร.มิฮาเอล ปู่แท้ๆ ของตัวเอง คือ ฮัลเก ศัตรูตัวร้ายของพวกดัน อลิซก็เดินทางจากมอสโกมาที่ญี่ปุ่น โดยอาศัยอยู่ที่บ้านรูโนะ และช่วยงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านคอฟฟี่ช็อปของบ้านรูโนะด้วย[7] แต่บางครั้งเธอจะมีอาการหน้ามืดหมดแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ก็หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว

โจ โอซามุ (城 治)
เว็บมาสเตอร์ผู้สร้างเว็บไซต์ให้แก่เหล่าบรอลเลอร์ มีชื่อเล่นว่า โจ (ジョウ) เดิมที โจ ป่วยเป็นโรคร้ายซึ่งไม่มีทางรักษาหาย เขาต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ โดยที่ไม่เคยได้ออกไปข้างนอกเลย แต่ด้วย "พลังด้านบวก" จากอินฟินิตี้คอร์ในตัวของไวเวิร์น ทำให้โรคของเขาหายดีเป็นปลิดทิ้ง[11] หลังออกจากโรงพยาบาล โจก็ได้เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มบรอลเลอร์อีก 1 คน โดยมีไวเวิร์นเป็นคู่หู
แมสเคอเรด (マスカレード)
เด็กหนุ่มปริศนา ลูกน้องของ ดร.ฮัลเก เป็นนักเล่นบาคุกันธาตุความมืด ลักษณะเด่นคือจะสวมหน้ากากไว้ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ปรากฏตัวขึ้นเพื่อทำลายเกมการเล่นบาคุกันอันสนุกสนานของเด็กๆ แมสเคอเรดเป็นคนที่มีนิสัยชั่วร้าย เย็นชา และใช้กลโกงสารพัดรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ โดยไม่สนว่าบาคุกันของตัวเองจะอยู่หรือตาย หลายครั้งที่เขาใช้ "เดธการ์ด" ส่งบาคุกันของตัวเองเข้าไปในเดธไดเมนชั่นพร้อมกับบาคุกันของคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย และจะคอยชักชวนผู้ที่เคยแพ้ในการเล่น หรืออยากเล่นบาคุกันอย่างมากให้มาเป็นพวก เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับพวกดัน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

มิฮาเอล เกฮาบิช (ミヒャエル・ゲーハビッチ) หรือ ดร.ฮัลเก (Dr. HAL-G)
ปู่แท้ๆ ของอลิซ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ผู้คิดค้นระบบเคลื่อนย้ายมิติ แต่ระหว่างทดลองได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้มิฮาเอลหลุดเข้าไปยังโลกเวสโทรเอีย และได้พบกับนากา หลังจากนั้นครึ่งปี มิฮาเอลก็ได้กลับมาที่โลกมนุษย์โดยไม่รู้ตัว[13] แต่เขาก็คิดที่จะบันทึกวิดีโอเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาจากเวสโทรเอียเอาไว้ ทว่าระหว่างบันทึกวิดีโอก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก ทำให้เขาได้รับ "พลังด้านลบ" จากไซเลนท์คอร์เข้าไปอย่างเต็มที่ จนกลายสภาพเป็น ดร.ฮัลเก ผู้ชั่วร้าย และร่วมมือกับนากา ในการทำลายโลกเวสโทรเอีย

มือวางอันดับโลก บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ
บิลลี่ กิลเบิร์ต (ビリー・ギルバート)
นักเล่นบาคุกันธาตุดิน ชาวอเมริกัน เป็นมือวางอันดับ 10 ของโลก ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็กและคู่แข่งของจูลี่
เคล้าส์ ฟอน เฮลเซ่น (クラウス・フォン・ヘルゼン)
นักเล่นบาคุกันธาตุน้ำ ชาวเยอรมัน เป็นมือวางอันดับ 2 ของโลก ลักษณะเป็นคนเจ้าสำอางค์ มักชอบพูดจาแบบเล่นสำบัดสำนวน ในช่วงที่กลุ่มนักเล่นมือวางอันดับโลกได้ตกเป็นลูกน้องของแมสเคอเรด เคล้าส์คือคนที่มีบทบาทเป็นผู้นำของกลุ่ม และในภายหลังยังเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยเหลือให้อลิซ กลับมามีกำลังใจในการต่อสู้อีกครั้งด้วย[9]
จาง ลี่ (チャン・リー)
นักเล่นบาคุกันธาตุไฟ ชาวจีน เป็นมือวางอันดับ 3 ของโลก แม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็มีวิชากังฟู และฝีมือการเล่นที่เก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย ดูเหมือนจะแอบชอบโจอยู่[14]
จูลิโอ้ ซานตาน่า (ジュリオ・サンタナ)
นักเล่นบาคุกันธาตุแสง เป็นมือวางอันดับ 4 ของโลก มีร่างกายใหญ่โต และบุคลิกห่ามๆ
คอมบา โอชาร์ลี (コンバ・オチャーリ)
นักเล่นบาคุกันธาตุลม เป็นมือวางอันดับ 5 ของโลก ในช่วงแรกคอมบาเป็นคนหยิ่งและมีความมั่นใจในฝีมือของตนเองมาก แถมยังชอบดูถูกบิลลี่ว่าเป็นนักเล่นมือวาง "เลขสองหลัก" แต่หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อชุนถึง 2 ครั้ง คอมบาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนว่าง่าย และให้ความเคารพนับถือชุนเป็นอย่างมาก และขอให้ชุนเป็นครูคอยสอนให้เขาเก่งขึ้นตลอด แต่ชุนก็ไม่ได้สอนเขามากนัก[15]

ผู้ปกครอง
คูโซ มิโยโกะ (空操 美代子)
แม่ของดัน เป็นผู้ใหญ่คนแรกที่รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกดันและบาคุกัน งานอดิเรกคือการเล่นโยคะ
คูโซ ชินจิโร่ (空操 信二郎)
พ่อของดัน ชอบทานพุดดิ้งมาก
มิซากิ ซากิ (美咲 早紀)
แม่ของรูโนะ ในอดีตเคยมีรูปร่างสะโอดสะอง แต่ปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว
มิซากิ ทัตสึโอะ (美咲 達夫)
พ่อของรูโนะ รักและภูมิใจในตัวลูกสาวมาก จึงมักจะนำเรื่องของลูกสาวไปคุยอวดให้ลูกค้าในร้านฟังอยู่เป็นประจำ ส่งผลให้มีลูกค้าเข้าร้านน้อยลง เนื่องจากเบื่อที่จะฟัง[16]
คาซามิ ชิโอริ (風見 栞)
แม่ของชุน ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากอาการป่วย ขณะที่ป่วยอยู่นั้น เธอรู้ดีว่าลูกชายชอบเล่นบาคุกันมาก จึงตั้งใจที่จะมอบฟีนิกซ์เป็นของขวัญวันเกิดให้กับเขา แต่ยังไม่ทันจะส่งถึงมือก็สิ้นใจเสียก่อน

บาคุกันที่มีบทเด่น
ดราโก้ (ドラゴ)
บาคุกันธาตุไฟ "โนว่าดราโกนอยด์" ลักษณะคล้ายมังกรสีแดง เป็นคู่หูของดัน ชื่อจริงว่า "ซาลามันเดอร์" มีพลังที่แข็งแกร่งและรักความยุติธรรม แรกๆ ไม่พอใจที่ดันเห็นเหล่าบาคุกันเป็นเพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่ภายหลังเมื่อปรับความเข้าใจกันได้ ดราโก้ก็ต่อสู้ร่วมกับดันมาตลอด เพื่อปกป้องโลกมนุษย์และเวสโทรเอียไม่ให้สูญสลายไป
ระหว่างการต่อสู้กับพวกเคล้าส์ ดราโก้ก็เกิดการวิวัฒนาการเป็น "โนว่าเมเทโอดราโกนอยด์" และหลังจากผ่านการทดสอบของฟาฟเนียร์ ก็ได้วิวัฒนาการไปอีกขั้น กลายเป็น "โนว่าอัลติม่าดราโกนอยด์" และร่างสุดท้ายมีชื่อว่า "อินฟินิตี้ดราโกนอยด์" ซึ่งเกิดจากพลังของอินฟินิตี้คอร์และสามารถใช้อะบิลิตี้ของธาตุทุกธาตุ
ไทเกรส (ティグレス)
บาคุกันธาตุแสง "ลูมิน่าไทเกรส" ลักษณะคล้ายเสือโคร่งสีขาว เป็นคู่หูของรูโนะ มีนิสัยสุภาพ ไม่ค่อยพูด ชอบถ่อมตัว และให้ความเคารพนับถือดราโก้ค่อนข้างมาก ปกติไทเกรสจะเรียกรูโนะว่า "คุณหนู" (お嬢, โอโจ) และรูโนะก็เรียกเขาว่า "น้องเสือ" (トラちゃん, โทระจัง)[16] ภายหลังเมื่อผ่านการทดสอบในเดธไดเมนชั่น ก็ได้วิวัฒนาการเป็น "ลูมิน่าเบลดไทเกรส" โดยมีคมดาบงอกออกมาจากมือทั้ง 2 ข้าง และสามารถยืนสองขาได้
พรีเดเตอร์ (プレデター)
บาคุกันธาตุน้ำ "อะควาพรีเดเตอร์" ลักษณะคล้ายกิ้งก่าสีน้ำเงิน เป็นคู่หูของมารุโจ มีนิสัยขี้เล่น เป็นกันเอง และเนื่องจากไปอาศัยอยู่ในแถบคันไซเสียนาน ทำให้สำเนียงการพูดติดเหน่อเล็กน้อย[3] ความสามารถพิเศษคือเปลี่ยนแปลงร่างกายเป็นธาตุอื่นๆ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นธาตุลูมิน่า (ธาตุแสง) ได้ เพราะไม่เคยทำ เลยทำไม่เป็น[6]
พรีเดเตอร์เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในตอนที่พลาดท่าโดนพลังของไซเรนลากลงไปในคลื่นน้ำวน[18] ซึ่งผลจากการโจมตีนั้น ทำให้เขาสูญเสียสติ จนกลายสภาพเป็น 1 ในบาคุกันของเคล้าส์อยู่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อมารุโจเอาชนะเคล้าส์ได้ เขาจึงได้กลับมาอยู่กับมารุโจอีกครั้ง[19]
อะควาพรีเดเตอร์ - แองเจโล่, เดียโบล (アクア・プレデター ・アンジェロ、ディアブロ)
เป็นบาคุกันที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากการวิวัฒนาการของพรีเดเตอร์ โดยมี 2 บุคลิกในร่างเดียว และทั้งคู่ก็พูดเหน่อเหมือนกับพรีเดเตอร์ด้วยเช่นกัน
แองเจโล่
ลักษณะเด่นคือมีปีกเหมือนนางฟ้า มีพลังธาตุน้ำรวมกับธาตุแสง พูดจาสุภาพเรียบร้อย
เดียโบล
ลักษณะเด่นคือมีปีกเหมือนปีศาจ มีพลังธาตุน้ำรวมกับธาตุไฟ บุคลิกออกนักเลงๆ และชอบการต่อสู้เป็นอย่างมาก
โกเลม (ゴーレム)
บาคุกันธาตุดิน "ซับเทอร์ร่าโกเลม" ลักษณะคล้ายโกเลม มีรูปร่างใหญ่โตผิดกับบาคุกันทั่วๆ ไป เป็นคู่หูของจูลี่ แม้จะมีนิสัยเงียบขรึม และพูดน้อยเหมือนกับไทเกรส แต่ก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้จูลี่มีความสุข ภายหลังเมื่อผ่านการทดสอบในเดธไดเมนชั่น ก็ได้วิวัฒนาการเป็น "ซับเทอร์ร่าแฮมเมอร์โกเลม" และมีค้อนขนาดยักษ์เป็นอาวุธ
ฟีนิกซ์ (フェニックス)
บาคุกันธาตุลม "เซฟิรอสฟีนิกซ์" ลักษณะคล้ายนกฟีนิกซ์ เป็นคู่หูของชุน และเป็นเหมือนของดูต่างหน้าแม่ชุนด้วย เนื่องจากระหว่างที่นอนป่วยอยู่ แม่ชุนตั้งใจจะมอบฟีนิกซ์ตัวนี้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับชุน แต่ก็เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้มอบให้[17] ฟีนิกซ์มีนิสัยสุขุมเยือกเย็น และเปรียบเสมือนพี่สาวคนโตของเหล่าบาคุกันที่อยู่กับพวกดัน ดังเห็นได้จากการที่ไทเกรสเรียกเธอว่า "คุณพี่" ส่วนพรีเดเตอร์จะเรียกเธอว่า "เจ๊"[20] ภายหลังเมื่อผ่านการทดสอบในเดธไดเมนชั่น ก็ได้วิวัฒนาการเป็น "เซฟิรอสสตอร์มฟีนิกซ์"
ฮิวดร้า (ヒュドラ)
บาคุกันธาตุความมืด "ดาร์คออนฮิวดร้า" คู่หูของแมสเคอเรด เป็นบาคุกันที่มีระดับพลังสูงมาก จนเรียกได้ว่าเข้าใกล้ความเป็น "บาคุกันขั้นสุดยอด" มากที่สุด[21] หลังจากผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ระดับพลังก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นอีก จนเกิดการวิวัฒนาการเป็น "ดาร์คออนดูอัลฮิวดร้า" โดยมีหัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 หัว และเมื่อผ่านการทดสอบในเดธไดเมนชั่น ก็ได้วิวัฒนาการไปอีกขั้น กลายเป็น "ดาร์คออนอัลฟาร์ดฮิวดร้า" โดยมีหัวเพิ่มขึ้นเป็น 3 หัว และมีปีกงอกออกมา
นากา (ナーガ)
บาคุกันสีเผือก ผู้รู้สึกคับแค้นในชะตากรรมที่ต้องเกิดมาในเผ่าสีเผือก เขาจึงเกิดความคิดที่จะครอบครองพลังของอินฟินิตี้คอร์ และไซเลนท์คอร์ แก่นทั้งสองที่ค้ำจุนโลกเวสโทรเอีย เพื่อที่ตนเองจะได้กลายเป็นบาคุกันขั้นสุดยอด และปกครองโลกได้ นากาได้รับความช่วยเหลือจากฮัลเก ทำให้สามารถเข้าไปจนถึงใจกลางของโลกเวสโทรเอียได้ ทว่าในขณะที่กำลังจะเข้าครอบครองแก่นทั้งสองนั้น เขาก็กลับถูกไซเลนท์คอร์ดูดกลืนเข้าไปแทน จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด[22]
ในช่วงแรก นากาไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ เนื่องจากถูกไซเลนท์คอร์ดูดกลืนไว้ จึงทำได้เพียงแค่ออกคำสั่งให้ฮัลเก และแมสเคอเรด ไปจัดการกับพวกดัน แต่ในภายหลังก็เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกขึ้น นากาจึงคิดจะมาที่โลกมนุษย์ เพื่อแย่งชิงอินฟินิตี้คอร์ ซึ่งอยู่ในตัวของน้องสาวอย่างไวเวิร์น[22]และนากาได้รับพลังของไซเลนท์คอร์ทำให้กลายเป็น "ไซเลนท์นากา"แต่สุดท้ายนากาถูกกำจัดด้วยพลังของดารโก้และทุกคน
ไวเวิร์น (ワイバーン)
บาคุกันสีเผือก น้องสาวฝาแฝดของนากา ซึ่งถูกอินฟินิตี้คอร์ดูดกลืนเข้าไป และต้องการจะหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายของพี่ชายให้ได้ ปัจจุบันไวเวิร์นเป็นคู่หูของโจ แม้ว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกมากขึ้น แต่ไวเวิร์นก็ต้องรู้สึกทรมานทุกครั้งที่อินฟินิตี้คอร์ในร่างของเธอเกิดแสดงพลังออกมา และเธอก็มีความสนิทสนมกับดราโก้มากเป็นพิเศษมาตั้งแต่ในสมัยก่อน[22]แต่ก็จบชีวิตด้วยการโจมตีของดราโกนอยด์เพื่อที่จะทำให้พ้นทุกข์ทรมานและมอบอินฟินิตี้คอร์ให้กับดราโกนอยด์

6 นักรบแห่งเวสโทรเอีย
6 นักรบแห่งเวสโทรเอีย คือนักรบที่เคยช่วยเหลือเวสโทรเอียในอดีตกาล โดยร่างกายได้แตกดับสูญสลายไปตามกาลเวลา และกลายเป็นวิญญาณอยู่ในเดธไดเมนชั่น เมื่อได้พบกับกลุ่มแบทเทิลบรอลเลอร์ที่เข้ามาในเดธไดเมนชั่น พวกเขาจึงตัดสินใจทำการทดสอบแบทเทิลบรอลเลอร์ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้กอบกู้เวสโทรเอียต่อจากพวกตนหรือไม่ ปกติแล้วนักรบแห่งเวสโทรเอียทั้ง 6 จะอยู่ในรูปแบบสภาพร่างคล้ายคลึงกับนักปราชญ์

ฟาฟเนียร์ (ファーブニル)
อดีตบาคุกันธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายที่แท้จริงมีลักษณะคล้ายมังกร เป็นผู้ทำการทดสอบดันในโลกเดธไดเมนชั่น โดยสร้างร่างของ "ตัวตลก" ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับดัน
ลาซลีออน (ラーズリオン)
อดีตบาคุกันธาตุแสงที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายที่แท้จริงมีลักษณะคล้ายหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาว เป็นผู้ทำการทดสอบรูโนะในโลกเดธไดเมนชั่น โดยสร้างร่างของ "ดันในสมัยเด็ก" ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับรูโนะ
ฟลอช (フロッシュ)
อดีตบาคุกันธาตุน้ำที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายที่แท้จริงมีลักษณะคล้ายกบ เป็นผู้ทำการทดสอบมารุโจในโลกเดธไดเมนชั่น โดยสร้างร่างของ "มารุโจในสมัยก่อน" ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับตัวมารุโจเอง
โอเบร่อน (オべロン)
อดีตบาคุกันธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายที่แท้จริงมีลักษณะคล้ายนกที่รวมร่างกับผีเสื้อ เป็นผู้ทำการทดสอบชุนในโลกเดธไดเมนชั่น โดยสร้างร่างของ "ชิโอริ" แม่ของชุนในสมัยเด็ก ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับชุน
เคลฟ (クレイフ)
อดีตบาคุกันธาตุดินที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายที่แท้จริงมีลักษณะคล้ายตุ๊กตาดินเผาในยุคโจมง (โดกู) เป็นผู้ทำการทดสอบจูลี่ในโลกเดธไดเมนชั่น โดยสร้างร่างของ "เดซี่" พี่สาวของจูลี่ ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับจูลี่
เอ็กซีดร้า (エクセドラ)
อดีตบาคุกันธาตุความมืดที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างกายที่แท้จริงมีลักษณะคล้ายงูยักษ์ 8 หัว ยามาตะ โนะ โอโรจิ เป็นผู้ทำการทดสอบแมสเคอเรดในโลกเดธไดเมนชั่น โดยสร้างร่างของ "อลิซ" ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับแมสเคอเรด

บาคุกันอื่นๆ
ลูซิเฟอร์ (ルシフェル)
บาคุกันธาตุความมืด "ดาร์คออนลูซิเฟอร์" เดิมเคยเป็นบาคุกันของแมสเคอเรด ซึ่งถูกพลังด้านลบเข้าครอบงำจนกลายเป็นบาคุกันที่ชั่วร้าย แต่ท้ายที่สุดก็ถูกแมสเคอเรดส่งเข้าไปในเดธไดเมนชั่นพร้อมกับคู่ต่อสู้ตัวอื่น เนื่องจากหมดประโยชน์แล้ว[23]
ไซคลอปส์ (サイクロプス)
บาคุกันธาตุดิน "ซับเทอร์ร่าไซคลอปส์" ลักษณะคล้ายกับยักษ์ตาเดียวไซคลอปส์ เป็นคู่หูของบิลลี่ ชอบพูดไทยคำอังกฤษคำ และมักจะเรียกบิลลี่ว่า "บอส" เป็นประจำและเคยพ่ายแพ้แก่ฮิวดร้าและส่งไปในเดธไดเมนชั่นแต่ถูกกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของ 6 นักรบเวสโทรเอียและช่วยเหลือต่อพวกดัน
ไซเรน (セイレーン)
บาคุกันธาตุน้ำ "อะควาไซเรน" ลักษณะคล้ายกับเงือก เป็นคู่หูของเคล้าส์ มีความสามารถในการใช้เสียงเพลงอันไพเราะล่อลวงศัตรูได้เช่นเดียวกับไซเรน นางอัปสรในเทวตำนานของกรีก เธอจะเรียกแทนตัวเคล้าส์ว่า "นายท่าน" และให้ความเคารพแก่เขาเป็นอย่างมาก
อาชูร่า (アシュラ)
บาคุกันธาตุไฟ "โนว่าอาชูร่า" ลักษณะคล้ายกับอสุรา หนึ่งใน 8 เทพบริวารของพระพุทธเจ้าศากยมุนี มี 3 หน้า และมี 6 มือ เป็นคู่หูของจาง ลี่ เวลาทำการต่อสู้จะสามารถใช้อะบิลิตี้เปลี่ยนแปลงใบหน้าได้ถึง 3 แบบ ได้แก่ ความอาดูร ความอารี และความโกรธกริ้ว ซึ่งแต่ละหน้าก็จะมีพลังที่แตกต่างกัน[24]และเคยพ่ายแพ้แก่ฮิวดร้าและส่งไปในเดธไดเมนชั่นแต่ถูกกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของ 6 นักรบเวสโทรเอียและช่วยเหลือต่อพวกดัน
แฟลชเชียล (フラッシャル)
บาคุกันธาตุแสง "ลูมิน่าแฟลชเชียล" คู่หูของจูลิโอ้ มีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด โดยมีร่างกายเป็นดวงตาขนาดใหญ่ และไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้และเคยพ่ายแพ้แก่ฮิวดร้าและส่งไปในเดธไดเมนชั่นแต่ถูกกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของ 6 นักรบเวสโทรเอียและช่วยเหลือต่อพวกดัน
ฮาร์ปี้ (ハーピー)
บาคุกันธาตุลม "เซฟิรอสฮาร์ปี้" ลักษณะคล้ายกับฮาร์ปี้ สิ่งมีชีวิตในตำนานของกรีก ซึ่งมีรูปกายเป็นหญิง ท่อนล่างเป็นนก และมีปีก เป็นคู่หูของคอมบา มีนิสัยร่าเริงและค่อนข้างมั่นใจในตนเอง มักเรียกฟีนิกซ์ว่า "คุณป้า"และเคยพ่ายแพ้แก่ฮิวดร้าและส่งไปในเดธไดเมนชั่นแต่ถูกกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของ 6 นักรบเวสโทรเอียและช่วยเหลือต่อพวกดัน
ร็อก (ロック)
บาคุกันลูกน้องของนากา ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่ธาตุน้ำและธาตุลมเกิดการหลอมรวมกันในเวสโทรเอีย ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งพลังของธาตุน้ำและธาตุลม ได้ต่อสู้กับชุนและมารุโจ แต่แกล้งทำเป็นพ่ายแพ้ ก่อนจะไปปรากฏตัวที่โลกมนุษย์ และถูกกำจัดโดยความร่วมมือระหว่างฟีนิกซ์ของชุน ฮาร์ปี้ของคอมบา และแฟลชเชียลของจูลิโอ้[25]
ซิลทิส (シルティス)
บาคุกันลูกน้องของนากา ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่ธาตุน้ำและธาตุลมเกิดการหลอมรวมกันในเวสโทรเอีย ปรากฏตัวพร้อมกับร็อก ตอนแรกแกล้งทำเป็นพ่ายแพ้ต่อชุนและมารุโจ แต่เมื่อไปปรากฏตัวที่โลกมนุษย์เพื่อแย่งชิงอินฟินิตี้คอร์ ก็ถูกมารุโจ กับคู่นักร้องดูโอ เจเจลิปส์ เข้าขัดขวาง ซิลทิสจึงต้องต่อสู้กับพวกมารุโจ แต่ในที่สุดก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้[26]
ไชอา (シャイア)
บาคุกันลูกน้องของนากา ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่ธาตุแสงและธาตุดินเกิดการหลอมรวมกันในเวสโทรเอีย ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งพลังของธาตุแสงและธาตุดิน มีนิสัยชอบผู้ชายหล่อๆ และรักโดโรอาผู้เป็นน้องสาวมาก ขณะที่อยู่ในโลกเวสโทรเอีย ไชอาได้ท้าพวกดันให้มาเล่นวิ่งแข่ง แต่ก็เป็นฝ่ายแพ้ จึงต้องยอมปล่อยพวกดันไป ทว่าภายหลังได้ไปปรากฏตัวที่โลกมนุษย์ และพ่ายแพ้ต่อฮิวดร้า ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ได้รู้ว่าโดโรอายังมีชีวิตอยู่ ไชอาจึงยอมเลิกราจากการต่อสู้ และกลับโลกเวสโทรเอียไปพร้อมกับโดโรอา[27]
โดโรอา (ドロア)
บาคุกันลูกน้องของนากา ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่ธาตุแสงและธาตุดินเกิดการหลอมรวมกันในเวสโทรเอียเช่นเดียวกับไชอา แม้ร่างกายจะใหญ่โต แต่กลับมีนิสัยคิกขุ ขี้เล่นเหมือนเด็กๆ หลังจากที่แพ้พวกดันในการวิ่งแข่ง โดโรอาก็มาปรากฏตัวที่โลกมนุษย์ โดยได้ต่อสู้และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อโกเลมของจูลี่ กับไซคลอปส์ของบิลลี่ เธอจึงเลิกทำการต่อสู้[28] และออกตามหาตัวไชอาจนพบ ก่อนจะกลับโลกเวสโทรเอียไปพร้อมกัน[27]
คีเบิ้ล (キーブル)
บาคุกันลูกน้องของนากา ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่ธาตุไฟและธาตุความมืดเกิดการหลอมรวมกันในเวสโทรเอีย ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งพลังของธาตุไฟและธาตุความมืด มีนิสัยออกนักเลง ใจร้อน และชอบการต่อสู้เป็นอย่างมาก ได้ร่วมมือกับเฟ้าสต์ ต่อสู้กับดันและดราโก้จนเกือบจะเอาชนะได้ แต่เมื่อแมสเคอเรดตามมาช่วยก็แกล้งทำเป็นพ่ายแพ้ ก่อนจะไปปรากฏตัวที่โลกมนุษย์ และร่วมมือกับเฟ้าสต์ ต่อสู้กับพวกดันอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกกำจัดโดยไทเกรส[29]
เฟ้าสต์ (ファウスト)
บาคุกันลูกน้องของนากา ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในโลกที่ธาตุไฟและธาตุความมืดเกิดการหลอมรวมกันในเวสโทรเอีย ปรากฏตัวพร้อมกับคีเบิ้ล มีนิสัยเยือกเย็น เลือดเย็น และอำมหิตมาก หลังจากแกล้งทำเป็นพ่ายแพ้ต่อพวกดันในโลกเวสโทรเอีย ก็ได้ไปปรากฏตัวที่โลกมนุษย์พร้อมกับคีเบิ้ล และทำการสร้างเขตอาคม ขังพวกดันเอาไว้เพื่อไม่ให้ไปช่วยไวเวิร์น แต่ในที่สุดก็พลาดท่าถูกกำจัดโดยฝีมือของพรีเดเตอร์และดราโก้[29]
เลาอู
พาราดิน

บาคุกันทั่วไป
ไนท์
เชร็ดเดอร์
เซนติพีด
กริฟฟอน
-เป็นบาคุกันธาตุไฟของดัน มีลักษณะเป็นสิงโต มีหางเป็นงูสีแดง มีลักษณะคล้ายลูมิน่าไทเกรส ภายหลังถูกส่งไปในเดรธการ์ด

แมนทิส
จั๊กเกอร์น้อต

ศัพท์เฉพาะในเรื่อง
บาคุกัน (爆丸)
เวสโทรเอีย (ヴェストロイア)
เผ่าสีเผือก (白きもの)
เกทการ์ด (ゲートカード)
เดธไดเมนชั่น (デス次元)
แบทเทิลบรอลเลอร์ (バトルブローラー)
ปรากฏการณ์โอเวอร์ไดรฟ์


อะนิเมะ
ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 17.30-18.00 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางสถานีทีวีโตเกียว ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2550 ถึง 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 ส่วนในประเทศไทย ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 19.30-20.00 น. ทางช่องทรู สปาร์ค ของสถานีโทรทัศน์เคเบิล ทรูวิชั่นส์ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "บาคุกัน ศึกมอนสเตอร์ทะลุมิติ" และออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี โดย เดกซ์ ในชื่อเรื่องว่า "บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ" รวมความยาวทั้งสิ้น 52 ตอนจบ ต่างจากในประเทศญี่ปุ่นที่ออกอากาศเพียง 51 ตอนจบ[1] โดยไม่มีตอนที่ 40 "วันนี้และต่อจากนี้ไป" (今日までそして明日から, แต่ได้รับการบรรจุลงใน DVD แผ่นที่ 10[30]) ซึ่งสาเหตุที่ทางญี่ปุ่นไม่ได้ออกอากาศตอนที่ 40 นั้น เนื่องจากเรื่องธุรกิจของเล่น[ต้องการแหล่งอ้างอิง] และเริ่มออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ในช่วงของโมเดิร์นไนน์การ์ตูน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เวลา 9.00 - 9.30 น.[31]


รายชื่อตอน
(อ้างอิงจากวีซีดีฉบับลิขสิทธิ์ของเดกซ์)
1. นักรบมังกร
2. ชายผู้เรียกพายุ
3. อยากจะทำอะไรก็เชิญ
4. สายสัมพันธ์สีแดง
5. แค้นนี้ต้องชำระ
6. พยัคฆ์และมังกร
7. คาเมเลี่ยนอาร์มี่
8. สวยซ่อนคม
9. ความหมายของคำว่ารัก
10. ภายใต้พระจันทร์ดวงเดียวกัน
11. เด็กหนุ่มผู้อยู่ในสายลม
12. เวลาเอ๋ย จงหยุดเถอะ
13. พายุที่ร้อนแรง
14. ฝันกลางค่ำคืนในฤดูร้อน
15. แบทเทิลบรอลเลอร์ พร้อมหน้า
16. ผู้กล้าแกร่ง
17. จะอยู่กับเธอตลอดไป
18. แฟลช!
19. ความทรงจำที่แตกสลาย
20. สายลมที่พัดพาสู่วันพรุ่งนี้
21. เพื่อนที่แสนดีของฉัน
22. ดวงตะวันที่สาดแสงอีกครั้ง
23. เด็กหนุ่มผู้ขี้อาย
24. ความรู้สึกของเด็กชาย
25. โพธิ์แดงที่ไร้ตัวเอ
26. จงหลับอย่างสงบเถอะ 27. ยามตะวันคล้อย
28. การตัดสินใจครั้งสำคัญ
29. ความสัมพันธ์ของฉันกับเธอ
30. เพื่อเป็นตัวของตัวเอง
31. อาทิตย์อัสดงที่ร่ำไห้
32. เปิดใจรับความจริง
33. ตัวตลกปริศนา
34. ประกายแสงในความมืด
35. หัวใจอันเร่าร้อน
36. หิมะกลางฤดูร้อน
37. คู่อันตราย
38. สู้ตาย
39. การเดินทางที่ไม่มีวันจบสิ้น
40. วันนี้และต่อจากนี้ไป
41. ดินแดนน้ำแข็ง
42. ไม่มีคำว่าถอย
43. ผู้ช่วยเหลือนักรบ
44. รวมพลังโจมตี
45. เรื่องตลกที่ไม่ขำ
46. เกียรติยศของลูกผู้ชาย
47. กู๊ดไนท์ เบบี้
48. เส้นทางที่ฉันเลือกเดิน
49. นางฟ้าปีกหัก
50. ไม่มีอนาคตสำหรบพวกเรา
51. ชีวิตที่ถูกเผาผลาญ
52. แบทเทิลบรอลเลอร์ หมายเลขหนึ่ง

เพลงประกอบ
เพลงเปิด : "นัมเบอร์วัน แบทเทิลบรอลเลอร์ส" (ナンバーワン・バトルブローラーズ)
ขับร้องโดย ไซคิกเลิฟเวอร์ (ตั้งแต่ตอนที่ 1-30)
เพลงปิด : "Air Drive"
ขับร้องโดย Elephant Girl (ตั้งแต่ตอนที่ 1-26)
เพลงเปิด : "บุจจิงิริ∞เจเนอเรชัน" (ブッちぎり∞ジェネレーション)
ขับร้องโดย ไซคิกเลิฟเวอร์ (ตั้งแต่ตอนที่ 31-อวสาน)
เพลงปิด : "ฮัลโหล" (ハロー)
ขับร้องโดย Za☆Bon (ตั้งแต่ตอนที่ 27-อวสาน)

บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ บาคุกัน มอนสเตอร์บอลทะลุมิติ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต

หมอกฤษณ์

หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม หรือ ศุกฤษณ์ ปทุมศรีวิโรจน์

นาทีนี้หากเอ่ยชื่อ “ศุกฤษณ์ ปทุมศรีวิโรจน์” หรือ “หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม” หมอดู อื้อฉาวแห่งปี คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก หนึ่งปีที่เขาแจ้งเกิดจากการทำนายดวงชะตาดารา-คนดัง จนมีชื่อสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่าแม่นยำ กระทั่งถูกเทียบเชิญไปออกรายการทีวี มีนิตยสารติดต่อขอสัมภาษณ์ไม่ขาดสาย กลายเป็นหมอดูเนื้อหอมทีใครๆ ก็อยากร่วมงาน

ด้วยความที่เป็นคนมั่นใจ พูดจาดุดัน จนดูเหมือนเป็นคนก้าวร้าว ฉะนั้นจึงมีทั้งคนรักและเกลียด และมักจะถูกเหล่าบรรดาคนดังที่ไม่เต็มใจให้คอนเฟิร์มดวงให้ ด่าเป็นประจำ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ เพราะคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นหน้าที่ของหมอดู ที่ต้องทายตามความเป็นจริงตามชะตาชีวิต และไม่สามารถห้ามความคิดใครได้

แต่แล้วใครจะคิดว่า “ดวงชะตา” ของหมอหนุ่มคนนี้จะกลับพลิกผันซะเอง เมื่อถูกนาง “ศันสนีย์ วิสุทธิธาดา” คุณแม่ของนักร้องสาว “ลีเดีย ศรัณรัชต์” บุกด่าบนเวที กลางงานแถลงข่าวเปิดตัวนิตยสารสยามดารา แถมขู่ให้กราบเท้าขอโทษ หลังไม่พอใจ ที่หมอดูคนดังไปคอนเฟิร์มว่าสาวลีเดียมีดวงตั้งท้อง พร้อมประกาศฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกว่าร้อยล้านบาท สร้างความโกลาหลและกลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ติดต่อกันหลายวัน

สุดท้ายหมอคนดังต้องออกมาขอโทษผ่านรายการทอล์คโชว์ทั้งน้ำตา สารภาพว่าดูดวงผิดพลาด พลาดทั้งดวงคนอื่น และดวงตัวเอง หมดสภาพหมอคอนเฟิร์มจอมดุดันโดยสิ้นเชิง วันนี้ “บันเทิงออนไลน์” จะพาทุกคนไปทำความรู้จักหมอกฤษณ์ทุกซอกทุกมุม ผ่านบทสัมภาษณ์บรรทัดด้านล่างนี้

เขาดูดวงโดยใช้ศาสตร์ที่เรียกขานว่า “บริเฉทเจ็ดดารา” เซียนหนึ่งเดียวของไทย

“วิธีที่ผมดูเรียกว่า บริเฉทเจ็ดดารา มันต่างจากตรงศาสตร์อื่นตรงที่ว่า ไม่ต้องใช้วันเดือนปีเกิด แค่รู้เวลาที่เขาโทรมาว่ากี่โมงก็ทายได้เลย คือมันจะวัดได้เลย ว่าคนนี้หมอดูแท้หรือเทียม ผมสามารถบอกได้ว่า หน้าตารูปร่างเป็นยังไง สูงกี่เซ็น ผิวสีอะไร ของผมจะระบุเลยผมยาวขนาดไหน สั้นแค่ไหน ลักษณะฟันเป็นยังไง มีไฝที่ไหน บอกเป็นรูปธรรม แต่การดูดวงส่วนใหญ่คือนามธรรม แต่บริเฉทคือรูปธรรม”

“ตำรานี้เป็นตำราพิเศษที่ผมได้รับถ่ายทอดมาเพียงคนเดียว เป็นตำราของ ปรมาจารย์โหร นามว่า พระครูอินทร์เทวดา (อินทร ปัญญาทีโป) ผมเป็นศิษย์รุ่นที่ 3 ของท่านครับ ซึ่งในสมัยก่อนจะถ่ายทอดกันเพียง 1 รุ่น ต่อ 1 คน คือง่ายๆ 50 ปี จะถ่ายทอดสักหนึ่งคนเท่านั้นเอง และ ถ่ายทอดแบบลับๆ ในวงจำกัด และวัดไม่ได้ว่าศาสตร์ไหนแม่นกว่ากัน ผมก็ไม่ได้แม่นที่สุด ไม่มีวิชาไหนที่แม่นที่สุด มันขึ้นอยู่กับตัวหมอดู”

“เมืองไทยมีหมอกฤษณ์คนเดียวที่ดูแบบนี้ได้ แต่หลังจากผมออกรายการแล้วมีเยอะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีเลย แต่พอผมออกมามีเยอะเลย คนนี้ก็เป็นคนนั้นก็เป็น ผมอยากถามว่าก่อนหน้านั้นพวกคุณอยู่ไหน ผมทำให้ดูแล้วไงว่ามันมี คุณก็ทำเลียนแบบได้”

“หมอดูบางคนเกลียดผม ที่ผมออกรายการโทรทัศน์ ในอินเตอร์เน็ตโลกมันแคบ มันมีแค่นี้ วัดจากอินเตอร์เน็ตไม่ได้หรอก คุณตัดสินเพียงเว็บไม่กี่เว็บ ซึ่งคนเข้าไปไม่ถึงหลักหมื่น แค่ ร้อยคนเกลียดผม ก็จะทำให้คนทั้งประเทศเกลียดผม คุณจะบ้าหรือเปล่า ถูกไหม ดาราไม่เห็นจะเกลียดผมเลย แต่ละคนเข้ามาก็ให้หมอกฤษณ์ดูอย่างนั้นอย่างนี้ให้หน่อย ยังไม่มีใครมาเกลียดผม มาด่าผมออกทีวี”

“มีเรื่องไหนบ้างที่ผมทายไม่ถูก ผมทายตรงหมดมี 2 เรื่องเท่านั้นที่ผมทายไม่ถูกเท่านั้นเอง ถูกไหม มีเอเอฟ5นิดหน่อย 30 เรื่องผมทายถูก 27 เรื่อง เรื่องผมทายผิดลง 2 หน้า แต่เรื่องผมทายถูกลงนิดเดียว เรื่องนี้เขาอาจจะไม่ชอบเราส่วนตัวก็ได้ เรื่องนี้ผมยอมรับโอเค แต่ถ้าเรื่องความแม่นทำได้เหมือนผมไหม โอกาสจะผิดมันก็มีอยู่แล้ว 70% จากร้อยก็เจ๋งแล้ว นี่ผม 97% นะ ถ้านับรายการวู้ดดี้ก็คง 98% ถ้าถามว่าพอรึยังสำหรับการเป็นหมอดู ผมได้เลยว่าพอแล้ว”

“ผมเชื่อมั่นเรื่องดวงเรื่องเดียว เรื่องอื่นผมไม่เชื่อมั่น ผมจะก้าวร้าวรุนแรงเรื่องดวงเรื่องเดียว นั่นคือตัวของผม แต่ถ้าเรื่องอื่นผมอ่อนน้อม ถ้าเรื่องดวงผมจะก้าวร้าวรุนแรง ไม่ได้ทำเพราะจะให้น่าเชื่อถือด้วย เราไม่ได้โกหกเขา เราแค่แสดงความมั่นใจออกไป เห็นอะไรผมก็ทายออกไปตามความจริง คุณพอใจดูๆ ไม่พอใจกลับบ้านไป ผมไม่สนใจ ไม่ง้อ และไม่บอกด้วยว่ามาดูกับผมสิ ผมถือแค่ความจริงคือความจริง เหมือนกันผมก็เชื่อว่าต้องมีคนที่หมั่นไส้ ไม่ชอบบุคลิกที่ผมเป็น แต่ก็ช่างเถอะเพราะเราห้ามความคิดคนไม่ได้”

เขาเกิดมาเพื่อ(เป็น)สิ่งนี้ อายุ 10 ขวบก็หาเงินด้วยการรับจ้างดูดวงตามสะพานลอย

“ผมเป็นหมอดูตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่แปดเก้าขวบครับ แต่ทำเป็นอาชีพตอนอายุ 10 ขวบ ตอนแรกก็ดูยิปซี ดูให้ครูอาจารย์ทั่วไป 11 ขวบ ก็เริ่มศึกษาโหราศาสตร์ไทย และก็ดูเรื่อยไป แรงบันดาลใจเริ่มจากตอนเด็กอยากเป็นพระ ผมชอบบวช เห็นหลวงพี่หลวงพ่อเขาดูดวงกันแล้วก็ชอบ อยากดูมั่ง ทักคนนั้นคนนี้ว่าจะตาย ไม่ต่ำกว่าเดือนก็ตายจริงๆ ครับ เห็นผีตั้งแต่เด็ก คุยกับเจ้าที่ที่บ้านตั้งแต่ยังคลานอยู่เลย ตั้งแต่จำความได้”

“เซ้นส์ก็มีส่วนด้วยนะครับ และก็ดวงด้วย สมัยปี 45-46 หมอลักษณ์เขาก็ยังดังอยู่ ผมก็ตั้งเป้าหมายว่า สักวันหนึ่งผมจะต้องเป็นเหมือนเขา จะต้องดังกว่าเขา ผมไม่ได้ว่าผมจะเลียนแบบเขา แต่นั่นคือเป้าหมาย ว่าผมจะต้องดังกว่านี้ แต่ผมไม่เคยเจอเขานะ ทุกวันนี้ก็คงยัง และผมก็ไม่อยากเจอด้วย”

“เด็กๆ ทำหลายอย่างทั้งเป็นเด็กปั๊ม ส่งหนังสือพิมพ์ เอาหนังสือไปขายตลาดนัด นั่งดูดวงในตลาดนัด ดูดวงบนสะพานลอยที่อนุสาวรีย์ช่วงสี่ทุ่มถึงตีหนึ่ง ด้วยความที่พ่อแม่เลี้ยงแบบไม่เหมือนคนอื่นไง เลี้ยงแบบไม่ค่อยให้เงิน เอาง่ายๆ ไปโรงเรียนเขาได้กันวันละ 100 ใช่มั้ย ผมได้วันละ 23 บาท ค่ารถเมล์ก็ 7-8 บาทแล้ว กินข้าวก็ 15 บาท แล้วจะมีเงินซื้ออะไรได้ล่ะ เก็บเงินตั้งแต่เด็กเลย พออายุ 15 ผมก็ค้นพบว่าตัวเองมีเงินเก็บ 4 แสนบาท ผมได้เงินนี่ก็ซื้อรถ Civic 3 ประตู ขับรถเก่งคันแรกตั้งแต่อายุ 15 ซื้อด้วยเงินสดด้วยนะ”

“ด้วยความที่เป็นหมอดูเด็ก ก็จะโดนดูถูกเยอะ โดนจนชินจนไม่รู้สึกอะไร ก็ชาชินกับมัน ยิ่งกับหมอดูด้วยกันนี่ โดนเยอะอายุ 40-60 เนี่ยมานั่งด่าผม แล้วเอาดวงผมไปดูว่ายังไงชาตินี้ก็ไม่มีทางดัง เต็มที่ก็หมอดูข้างถนน นั่นเป็นสิ่งที่ผมโดนดูถูก ในเรื่องหมอดูผมเด่นตั้งแต่เด็ก ผมจะดูดวงฟรีตามเว็บไซต์ ได้รับความนิยม คนมาหาผมเยอะ ก็เหมาว่าผมว่าเตี๊ยม สร้างภาพอยากดัง”

“ชีวิตมันต้องแข่งขันตลอดเวลา ในโลกนี้มันไม่มีหรอกครับอยากให้ใครเด่นกว่าใคร ถูกไหมครับ ทำดีได้ แต่อย่าเด่น พอเราเด่นขึ้นมาเขาก็พร้อมจะย่ำเราได้หมด ถ้าคุณไม่แข็งพอ ไม่ชัวร์จริง โดนเหยียบอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเด็กด้วยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขึ้นมาก็คือพลาดไม่ได้”

หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ธันวาคม 2551 06:32 น.

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP