เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

ภาพจูบปาก คริส โผล่ มด เศร้าทำแม่เสียใจ

"มด" คุณัชยา ชัยรัตน์ เผยเสียใจที่มีภาพไม่เหมาะสมออกมา และเป็นต้นเหตุทำให้แม่เสียใจ หลังภาพจูบปาก "คริสโตเฟอร์" โชว์หราในนิตยสารและอินเทอร์เน็ต ขณะที่มารดานักร้องดัง เผยรู้สึกไม่สบายใจ และได้บอกให้ทั้งคู่ห่างกันนาน 2 เดือนแล้ว แจงภาพดังกล่าวถ่ายเมื่อ 3 เดือนก่อน


หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีภาพหลุด ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ที่โรงแรมขอนแก่น จนกลายเป็นข่าวฮือฮาสนั่นเมืองกันมาแล้ว ล่าสุด นักร้องชื่อดังค่ายอาร์เอส "มด" คุณัชยา ชัยรัตน์ ก็เจอพิษอินเทอร์เน็ตเล่นงานอีกครั้ง หลังจากมีภาพของเธอขณะจูบกันอย่างดูดดื่มกับ "คริส" คริสโตเฟอร์ โรเบิร์ต หลุดออกมาในนิตยสารก็อสซิปสตาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้ออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์กับนายแบบคนดังกล่าวว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น


ทั้งนี้ ทางด้าน "มด" ได้กล่าวเพียงสั้นๆ เกี่ยวกับภาพที่หลุดออกมาว่า รู้สึกเสียใจที่มีภาพไม่เหมาะสมออกมา มดอยากจะขอโทษคุณแม่ที่ทำให้คุณแม่เสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้มดกล่าว


ขณะที่ ทางด้าน ปวริศา ชัยรัตน์ มารดาของนักร้องชื่อดังค่ายอาร์เอสกล่าวชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า เพิ่งเห็นภาพเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ (29 ม.ค.) ในฐานะของคนเป็นแม่ รู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากลูกสาวยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ดังนั้นเธอจึงมีหน้าที่ที่จะต้องค่อยๆ อบรมและสั่งสอน


"สำหรับการคบเพื่อนต่างเพศในกรณีนี้ คุณแม่ก็มีการพูดคุยกับน้องและพยายามให้ทั้งคู่ห่างกันมาประมาณสองเดือนแล้ว ช่วงนี้น้องมดก็กำลังสอบอยู่ และกำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย สำหรับภาพที่หลุดออกมานั้น เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อราวๆ สามเดือนก่อน หลังจากน้องมดไปงานโชว์ตัว น้องได้ไปกินอาหารกันต่อกับเพื่อนๆ แล้วก็มีการถ่ายรูปกัน" แม่ของมดแจกแจง


ในส่วนของต้นสังกัด ได้มีการเรียกมด เข้ามาพูดคุยตักเตือน ซึ่งข่าวที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานของนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง และทางบริษัทฯ ไม่ได้จะแบนงานใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้กรณีของมดเป็นอุทาหรณ์สำหรับน้องๆ คนอื่นๆ ต่อไป



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คม ชัด ลึก

ดาวน์โหลด ภาพหลุดมดจ๊วบปาก “คริส”



"เงินคงคลัง"เหลือแค่5หมื่นล้าน หวั่นไม่พอจ่าย"เงินเดือน"

"เงินคงคลัง"เหลือแค่5หมื่นล้าน หวั่นไม่พอจ่าย"เงินเดือน"
กมธ.งบฯตกใจ เงินคงคลังมีแค่ 5.2หมื่นล้าน เหลือจ่ายเงินเดือนประจำแค่เดือนครึ่ง ปลัดคลังแจงเหตุลดกู้เงินแต่ถ้าไม่พอกู้ใหม่ได้ เผยจัดเก็บรายได้ไตรมาสแรกของปีงบฯ′52 ต่ำเป้าถึง16% จี้เร่งอัดฉีดเงินเข้าระบบภายใน มี.ค. ก่อนเศรษฐกิจจะติดลบ 3%ฝ่ายค้านให้ตัดทิ้งงบชุดนร.ทั้งยวง 2.6 พันล้าน ส.ส.ร. ยัน 3รมต.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ไปโหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบฯ

คลังเผยเก็บรายได้ต่ำเป้า16%
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 มกราคม คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานมีการประชุมเป็นนัดแรก โดยพิจารณาฐานะการเงินการคลังของประเทศมีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ชี้แจงว่ามีความจำเป็นที่ต้องอัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ทันในเดือนมีนาคมนี้เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยอาจติดลบถึง 3% ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552การจัดเก็บรายได้ของรัฐต่ำกว่าเป้าประมาณ 16%โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์รายได้ตลอดปี 2552 อยู่ที่ 132,000 ล้านบาทมีการเบิกจ่ายงบฯลงทุนไปได้เพียง 7.9%และมีการตั้งรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังสำหรับงบประมาณกลางปีไว้จำนวน12,900 ล้านบาทมาจากรายได้ที่จะได้จากการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันและรายได้จากผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ

จากนั้นคณะกรรมาธิการทั้งจากรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างซักถามถึงสาเหตุการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า อาทิ งบประมาณองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นและกรมทางหลวงชนบทที่ผู้รับเหมายังไม่ได้รับเงิน ทำให้นายพิเชษฐพันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ กมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าอยากให้กระทรวงการคลังนำความจริงมาพูดให้ทุกคนรู้เพราะจะได้ช่วยกันแก้ไขและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่หนักหนาเชื่อว่าเหตุที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบฯลงทุนต่างๆเป็นเพราะความจริงรัฐไม่มีเงิน มีแต่เพียงตัวเลขลอยๆ เท่านั้นจึงอยากทราบว่าความจริงขณะนี้ประเทศไทยมีเงินคงคลังจำนวนเท่าใด

กมธ.งบฯตกใจคงคลังมีแค่5.2หมื่นล.
ด้านนายศุภรัตน์ชี้แจงว่ายอมรับว่ามีเม็ดเงินไหลออกมากกว่าเม็ดเงินไหลเข้าการบริหารเงินคงคลังต้องทำด้วยความละมุนละม่อม ทั้งนี้ สิ้นเดือนธันวาคมปี2551 ที่ผ่านมา มีเงินคงคลังประมาณ 52,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายศุภรัตน์กล่าวจบนายพิเชษฐถึงกับกล่าวอย่างตกใจว่าเหตุใดเงินคงคลังจึงมีมากกว่ารายจ่ายประจำไม่ถึง 2 เดือนตัวเลขนี้เป็นปัญหาว่าทำไมประเทศจึงไม่มีเงินในการจ่ายงบฯลงทุนทำให้นายศุภรัตน์กล่าวตอบว่ายังมีเงินพอที่จะจ่ายเป็นเงินเดือนประจำอยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่งเนื่องจากต้องจ่ายเงินเดือนประจำเดือนละ 32,000 ล้านบาทเหตุที่เงินคงคลังเหลืออยู่ไม่มากเนื่องจากที่ผ่านมาได้ลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเพื่อเป็นลดภาระดอกเบี้ยหากไม่เพียงพอก็ยังสามารถกู้เงินจากต่างประเทศได้อีก

ด้านนายวิทยาบุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา กมธ.จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าดูแล้วไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะมีรายได้กลับมาตามที่คาดจึงอยากทราบว่าจะกู้เงินเมื่อใด จากไหนและจำนวนเท่าไหร่

จากนั้นนายศุภรัตน์ชี้แจงว่ากรอบการกู้ยืมเงินมีกฎเกณฑ์ไว้ชัดเจนอยู่แล้วแต่อาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เร็วกว่าเดิมขณะนี้การขาดดุลงบประมาณทั้งประจำปีและกลางปีมีจำนวน 340,000 ล้านบาทส่วนแหล่งเงินกู้นั้นจะส่งเป็นเอกสารให้ กมธ.ในภายหลัง

ฝ่ายค้านไล่บี้งบฯเรียนฟรี15ปี
สำหรับการประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯในช่วงบ่ายมีการพิจารณาโครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปีของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเริ่มต้นในภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2552วงเงิน 18,257 ล้านบาท ซึ่งนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐมกมธ.จากพรรคเพื่อไทยระบุว่าไม่เห็นว่างบฯดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้และเกรงว่าจะไปกระจุกตัวกับนักธุรกิจ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ผลิตเครื่องแบบนักเรียนกลุ่มผู้ผลิตแบบเรียนและกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์การเรียนควรแจกคูปองให้ผู้ปกครองนำไปซื้ออุปกรณ์และเครื่องแบบนักเรียนเองจะดีกว่าน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่า

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่ใช่หน่วยงานสังคมสงเคราะห์รัฐบาลควรมุ่งเน้นงบประมาณไปที่การปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้กับนักเรียนจึงอยากให้ทบทวนปรับปรุงโครงการและเสนอเข้ามายังกรรมาธิการอีกครั้งเพราะไม่อยากให้งบฯก้อนนี้เป็นงบฯละลายน้ำ

นายชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงว่าจะจัดทำประชาพิจารณ์โครงการต่างๆ ที่โรงเรียนสตรีวิทยา ในวันที่ 31 มกราคมเพื่อประมวลผลร่วมกับข้อชี้แนะของ กมธ.ว่าจะทำอย่างไรขอยืนยันว่าการปฏิรูปการศึกษายังคงมีต่อเนื่องส่วนงบประมาณกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนนั้นทราบว่าโรงเรียนสาธิตทั้ง 44แห่งในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีมติร่วมกันว่าจะไม่รับงบประมาณส่วนนี้ แต่ผู้ปกครองจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

เล็งแจกเงิน-คูปองซื้อชุดนักเรียน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากมธ.จากพรรคฝ่ายค้านได้ซักถามนายชินภัทรอย่างหนักโดยเฉพาะวิธีการจัดซื้อเครื่องแบบนักเรียนที่ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะจัดซื้ออย่างไร ซึ่งคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ชี้แจงว่าเครื่องแบบนักเรียนจะไม่มีการจัดซื้อที่กระทรวงศึกษาธิการหรือส่วนกลางตลอดจนเขตพื้นที่ แต่จะให้ซื้อกันที่โรงเรียนเบื้องต้นกำลังพิจารณาว่าจะให้เงินผู้ปกครองหรือแจกเป็นคูปองส่วนการกำหนดสเปคของมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)นั้นความจริงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้อาจจะใช้หลักให้ผู้ปกครองเห็นสมควร

พท. ขอตัดงบฯ2.6พันล.ซื้อชุดน.ร.
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าส่วนตัวติดใจในงบประมาณจัดซื้อเครื่องแบบนักเรียนกว่า 2,600 ล้านบาทเนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายเรียนฟรี ดังนั้นจึงขอตัดงบฯส่วนนี้ทั้งหมด ทำให้ กมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายไตรรงค์สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน และนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ได้คัดค้านแกมขอร้องว่า อย่าเสนอให้ตัดงบฯก้อนนี้ โดยนายพิเชษฐกล่าวว่าขอให้ค้างตัวเลขไว้ก่อนแล้วค่อยมาพิจารณารายละเอียดหากตัดไปเรื่องก็จะต้องกลับเข้า ครม.อีกครั้ง เวลาไม่พอขณะที่นายวิทยายังยืนกรานที่จะตัดงบประมาณก้อนนี้ และกล่าวว่าถ้าหากไม่มีหากท้วงติงหรือตัดงบฯเลยก็ควรนำกลับเข้าสู่สภาไม่ต้องมานั่งพิจารณาให้เสียเวลา 0พท.เตรียมยื่นถอด3รมต.โหวตงบฯ

กรณีที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนเอาผิดกับ 3 รัฐมนตรี ได้แก่ นายเกื้อกูลด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายโสภณ ซารัมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ลงมติเห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552ซึ่งถือว่ามีพฤติกรรมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 177 วรรค 2 นั้น

นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า คาดว่าจะยื่นต่อ ป.ป.ช.ได้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เพื่อให้ป.ป.ช.ไต่สวน 3 รัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275กรณีที่รัฐมนตรีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่นนอกจากนี้พรรคเพื่อไทยจะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เพื่อยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาให้ถอดถอน 3รัฐมนตรีออกจากตำแหน่งควบคู่ไปด้วย

พ่วงยื่นถอด "ปู่ชัย" ขาดคุณสมบัติ
นายจุมพฏกล่าวว่า นอกจากนี้ในวันเดียวกันนั้นตนจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนเอาผิดนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วยกรณีที่เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้รัฐบาลแถลงนโยบายเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม2551ทั้งที่สถานะของนายชัยขณะนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกภาพของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ถือว่าขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266 (8)

นายจุมพฏกล่าวว่าระหว่างที่นายชัยปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นถือว่าสถานะความเป็น ส.ส.ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากนายชัยและสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยนายชัยเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 14 มกราคม ในลำดับที่ 23 ดังนั้นกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงเข้าข่ายมิชอบทั้งหมด เช่นการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการฯ แต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรีส่งผลให้คณะรัฐมนตรีที่เกิดจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีมีที่มาไม่สมบูรณ์เช่นกัน รวมถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลก็เท่ากับเป็นโมฆะไปด้วย

ปธ.วิปรบ.มั่นใจ3รมต.ไม่ขัดรธน.
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่าไปสืบค้นข้อมูลการลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552ในวาระแรกที่มีการลงมติไปเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551ซึ่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ก็มีการลงมติเห็นชอบในร่างดังกล่าวอาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชูศักดิ์ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลที่มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณด้วยทุกคนฉะนั้น การที่ฝ่ายค้านหยิบยกประเด็นรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 2552 ว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรค 2นั้น ตนเห็นว่าเป็นการเล่นเกมเพื่อปั่นป่วนทางการเมืองหากดูตามข้อกฎหมายแล้ว ไม่สามารถยื่นถอดถอนรัฐมนตรีได้ เพราะการลงมติร่างพ.ร.บ.งบฯ หรือกฎหมายโดยทั่วไปไม่สามารถตีความอย่างกว้างได้ว่าเป็นการลงมติที่มีผลประโยชน์ขัดกัน

"จึงอยากเรียกร้อง ส.ส.พรรคฝ่ายค้านให้ทำการเมืองกันอย่างสร้างสรรค์แต่หากฝ่ายค้านจะดำเนินการก็ทำได้ แต่จะทำให้รัฐมนตรีชุดที่แล้วหลายคนเป็นส.ส.อยู่ ก็อาจจะมีปัญหาต่อไปได้" นายชินวรณ์กล่าว

เกื้อกูลยันไม่มีประโยชน์ขัดกัน
ด้านนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่โหวตรับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ว่า ก่อนโหวตตนได้ซักถามนายโสภณ ซารัมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้รับคำตอบว่าในรัฐบาลนายสมัคร ก็โหวตรับร่างงบประมาณเช่นกันหลังเกิดเรื่องขึ้นก็พูดคุยกับนายชินวรณ์แล้วพบว่าไม่น่าจะผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายอีกทั้งร่างงบประมาณตนก็ไม่มีส่วนในการเสนอจึงไม่มีผลประโยชน์ขัดกัน

"ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 177(2)นั้นเขียนไว้ชัดเจนว่าการห้ามรัฐมนตรีออกเสียงนั้นต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้นแต่ผมไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หลังฝ่ายค้านหยิบเรื่องนี้มาเล่นงานผมก็รู้สึกตกใจเช่นกันแต่ทำความเข้าใจกับฝ่ายกฎหมายและผู้ใหญ่ในรัฐบาลแล้วก็ไม่มีอะไรหนักหนาจึงไม่คิดว่าจะหมดสภาพการเป็นรัฐมนตรี" นายเกื้อกูลกล่าว

ส.ส.ร.ยันไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายปกรณ์ ปรียากร คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อดีตโฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550(ส.ส.ร.) กล่าวว่า ระหว่างการยกร่างมาตรา 177 วรรคสองมีการพูดกันชัดเจนว่าให้หมายความว่า เฉพาะตอนการอภิปรายไม่ไว้วางใจส่วนร่าง พ.ร.บ.งบฯ ไม่เกี่ยวกัน เพราะพ.ร.บ.นี้ใช้สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนที่อ้างถึงคำว่า การมีส่วนได้เสีย เจตนารมณ์คือการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวกับประมูลงาน ฉะนั้น 3 รัฐมนตรีที่โหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม ตนคิดว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

นายศรีราชา เจริญพานิช เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน อดีตส.ส.ร.กล่าวว่า เจตนารมณ์มาตรา 177 นั้นกมธ.ยกร่างฯไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากนัก จึงไม่สามารถระบุได้ว่า 3รัฐมนตรีมีความผิดหรือไม่คงจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความให้ชัดเจนจะดีกว่าโดยส่วนตัวเห็นว่ารัฐมนตรีทั้ง 3 คนไม่น่าจะมีความผิด

ด้านนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอดีตเลขานุการ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เจตนารมณ์ของมาตรา 177มุ่งตีความโดยแคบ ป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.โหวตสนับสนุนในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสียโดยเฉพาะในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวเองหรือการเสนอกฎหมายที่ตัวเองมีส่วนได้เสียโดยตรง เช่นรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแล้วเสนอกฎหมายจ่ายเงินให้โรงพยาบาลรัฐมนตรีคนนั้นไม่สามารถลงมติได้ ฉะนั้นการตีความของพรรคฝ่ายค้านจึงกว้างขวางเกินไปไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

"ปริญญา" ชี้อาจเข้าข่ายผิดม.177
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า มาตรา 177 วรรคสองเขียนค่อนข้างกว้างความตั้งใจของมาตรานี้คือเรื่องไหนเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ไปพร้อมกันด้วย แล้วรัฐมนตรีคนนั้นมีส่วนได้เสียก็จะถูกห้ามไม่ให้ร่วมยกมือสนับสนุนในฐานะ ส.ส. ในมาตรานี้มี 3 ประเด็นคือการดำรงตำแหน่ง ซึ่งชัดว่าเกี่ยวกับเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจส่วนประเด็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ กับการมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้นยังเป็นปัญหา

นายปริญญากล่าวว่า กรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมต้องไปดูว่ามีงบฯที่กระทรวงของ 3รัฐมนตรีดำรงตำแหน่งอยู่ได้รับจัดสรรหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ไม่เข้า แต่ถ้ามีตนเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและการถอดถอนจากการกระทำผิดดังกล่าวนี้ก็คงต้องพิจารณาเรื่องความจงใจที่จะกระทำผิดด้วยเพราะมาตราดังกล่าวระบุชัดว่าต้องจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วย

"อลงกต"ยันมติพผ.เสนอชื่อกมธ.งบฯ
วันเดียวกัน นพ.อลงกต มณีกาศ รองประธานวิปรัฐบาล กลุ่มวังพญานาคพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วนพรรค พผ. ซึ่งอยู่ในกลุ่ม 12 ให้ตรวจสอบจริยธรรม นพ.อลงกตที่ไม่ยอมเสนอชื่อ น.ส.จิตวรรณ หวังศุภกิจโกศ ส.ส.นครราชสีมา พรรคพผ.กลุ่ม 12 เป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมว่าพรรคเรียกประชุมเมื่อวันที่ 26-27 มกราคมและมีมติให้เสนอชื่อนายกิตติศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ และนายสาธิตเทพวงศ์ศิริรัตน์ ส.ส.สุรินทร์ เป็น กมธ.งบฯในโควต้าของพรรคโดยไม่มีใครพูดถึงชื่อ น.ส.จิตวรรณเลยยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ ในวันนั้น ส.ส.กลุ่ม 12หลายคนก็เข้าประชุมและรับทราบมติพรรค อาทิ นายสุรเดช ยะสวัสดิ์และนายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา ส.ส.สัดส่วน ฯลฯแม้กระทั่งนายสมเกียรติก็เข้าร่วมประชุมด้วยแต่ไม่อยู่จนจบ

"ถ้านายสมเกียรติไม่พอใจ ทำไมจึงไม่ท้วงติงกันกลางสภาแต่กลับแอบไปติดต่อขอเปลี่ยนชื่อ กมธ.ในโควต้า พผ.กับข้าราชการที่เป็นเลขานุการวิปรัฐบาล ผมขอฝากถึงนายสมเกียรติว่าคนจะเป็นกมธ. ต้องไม่โดดประชุมสภา นี่เพียงวาระแรกก็ไม่เข้าร่วม ไม่โหวตรับหลักการแต่กลับเสนอตัวเป็น กมธ. มันจะชอบธรรมได้อย่างไร" รองประธานวิปรัฐบาลพผ.กล่าว

ขอขอบคุญข้อมูลจาก มติชนออนไลน์

ความหมายของคำว่า...เกรียน

วันนี้เห็นคำว่าเกรียนในบอร์ดเยอะ และมันส์สุด ๆ กับ
"ชนีเกรียนไล่ตบเสือ"

เลยลอง Search ดูใน Google
คำว่าเกรียน ติดอันดับ Keyword การค้นหา จนมีสถิติการใช้คำ ๆ นี้ขึ้นใน Google ด้วย
เรามาดูกัน
Keyword "เกรียน หมายถึง" 232,000 ผลการค้นหา
Keyword "เกรียน ความหมาย" 247,000 ผลการค้นหา
Keyword "เกรียน คืออะไร" 186,000 ผลการค้นหา
Keyword "เกรียน แปลว่าอะไร" 246,000 ผลการค้นหา

และนี้คือความหมายของเกรียน (เอามาจาก ไร้สาระนุกรม)
"
เกรียน เป็นคำสแลงแทนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมก่อกวน ก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด ไร้เหตุผล หรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของสังคมอินเทอร์เน็ต โดยมักจะแสดงออกในลักษณะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนเด็กไม่ได้รับความสนใจ บุคคลกลุ่มนี้จะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลหรือการวิเคราะห์ไตร่ตรอง

คำว่า เกรียน มาจากทัศนคติของบุคคลที่เป็นเด็กนักเรียนชายที่ตัดผมสั้นหัวเกรียน ซึ่งมักจะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวอยู่บ่อยๆ และกลุ่มบุคคลที่อยู่ในสภาวะเกรียน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และยังเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์อีกด้วย เมื่อถูกเรียกบ่อยครั้งเข้า คำนี้จึงใช้แทนกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเหล่านั้นไปเสีย โดยไม่คำนึงถึงอายุ มีการเปรียบเทียบว่า เกรียน คล้ายกับลักษณะของ นู้บ (noob, n00b) หรือ นูบี (newbie) ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลในอินเทอร์เน็ตตามเว็บบอร์ด หรือเกมออนไลน์ ที่มักจะเป็นคนใหม่และทำตัวเหมือนรู้ทุกเรื่อง (แต่ไม่ได้รู้จริงหรือไม่รู้เลย)

หากเปิดหาคำนี้ใน พจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 141 จะพบว่าถูกนิยามความหมายไว้ 3 ความหมายด้วยกันดังนี้

เกรียน ๑ [เกรียน] ว. สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนังหรือ พื้นที่ เช่น ผมเกรียน หมาขนเกรียน หญ้าเกรียน
เกรียน ๒ [เกรียน] ดู เลี่ยน ๑.
เกรียน ๓ [เกรียน] น. แป้งซึ่งนวดด้วยน้ำร้อนแล้วไม่น่ายเป็นเม็ดปนอยู่ เม็ดนั้นเรียกว่า เกรียน; เรียกปลายข้าวขนาดเล็กว่า ข้าวปลายเกรียน
นอกจากนี้ยังมีความหมายถึงผู้ที่ไม่มีมารยาทในการเล่นอินเทอร์เน็ต โดยจะเห็นตัวอย่างบ่อยๆ ในเกมออนไลน์ ซึ่งคำว่าเกรียนในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว ไม่ใช่หมายถึงนักเรียนทั้งหมดที่ไว้ผมสั้นเกรียนแต่อย่างใด (ดูคำอธิบายด้านล่าง)

วันนี้ผมไม่ได้มาพูดถึงคำนี้ตามที่พจนานุกรมให้นิยามไว้หรอกนะครับ แต่ผมขอพูดถึงมันในแง่มุมของมนุษย์ Cyber กันดีกว่า เราจะมาค้นหาความหมายของมันกัน และเมื่อรู้ความหมายแล้วอย่าลืมสำรวจตัวเองด้วยนะว่าคุณ “เกรียนหรือเปล่า” "

ต้นกำเนิดแห่ง เกรียน
เกรียน คำนี้มีต้นกำเนิดมาจาก Member บนบอร์ดประมูลที่ชื่อ TeamKasuya-X เชื่อว่าพวกสมัยก่อนจะจำได้ดี ซึ่งอยู่ในยุคที่กระทู้ของบอร์ด RO มีแต่คำว่า :Xกับห่า นอกจากนี้ TeamKasuya-X ยังมีพรรคพวกเยอะแยะเช่น ^NaMaSiS^ sasano DarkBug และอีกเยอะแยะมากมาย

คำว่าเกรียนถือกำเนิดขึ้นนานมาแล้ว ในสมัยที่เกมส์ออนไลน์ที่ชื่อ Ragnarok กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขั้นสูงสุด จนก่อให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย เด็กๆ ที่ยังมีวุฒิภาวะไม่พอ ติดเกมส์กันอย่างหนักถึงขั้นลักขโมยเงินพ่อแม่มาเล่นเกมส์ ทำให้กระทรวง ICT ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องเหล่านี้โดยตรง ได้ประกาศกฎห้ามเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเล่นเกมส์หลังเวลา 22.00 นาฬิกา ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างสำหรับเด็กๆ ที่ติดเกมส์งอมแงม โดยเด็กๆ พวกนี้มักจะเข้าไปพูดคุยกันในเวปบอร์ดชื่อดังแห่งหนึ่งชื่อว่า บอร์ด ประมูล (http://www.pramool.com/webboard/ ) ในครั้งแรกผู้สร้างเวปบอร์ดแห่งนี้มีเจตนาจัดทำเวปขึ้นเพื่อซื้อขายสินค้า แต่แล้วใครจะรู้ว่าภายหลังเวปแห่งนี้จะกลายเป็นที่รวบรวมการแสดงออกพฤติกรรมของเด็กๆ ที่ขาดกฎเกมส์การควบคุม เช่น ตั้งกระทู้ด่ากัน แจกโปรแกรมโกงการเล่นเกมส์ Ragnarok ที่มีชื่อเสียงมากในช่วงนั้น ดังนั้นเมื่อมีกฎจากกระทรวง ICT เกิดขึ้นจึงได้มีบุคคลๆ หนึ่งที่มีชื่อเสียงในเวปบอร์ด ได้ตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยถากถางเด็กๆ พวกนั้นด้วยความสะใจและได้กล่าววลีอมตะตลอดกาลขึ้นมาว่า "เกรียน" ซึ่งได้ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา

กลุ่มที่อยู่ในสภาวะ เกรียน
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดจนเหมารวมไปเลยว่า เกรียน คือ กลุ่มเด็ก ตั้งแต่ ป.1 จนถึง มัธยมปลาย (โรงเรียนบางแห่งปกครองโดยระบอบเผด็จการ จึงได้กระทำเช่นนั้นกับเยาวชนไปจนถึง ม. ปลาย) ที่ตัดผมสั้นเกรียน สาเหตุที่หลายคนตีความแบบนั้นอาจจะเป็นด้วยลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นคือทรงผมที่เลี่ยนเกรียนติดหนังหัว ซึ่งความจริงแล้วลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงรากศัพท์ของคำว่า เกรียน เท่านั้นเอง หากแต่ในความเป็นจริง ตามหลักของ “กฎของเกรียน” หรือ “เกรียน Law” คือ “ความเกรียนไม่จำกัด ทรงผม อายุ เพศ หรือ ฐานะ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในความเกรียนเหมือนกันหมด” ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่า สภาวะเกรียน เป็นสภาวะของพฤติกรรม ทางความคิด หาใช่ลักษณะทางกายภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจกันไม่

ทำไมต้อง เกรียน
สังคมที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นคนที่ดี จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นเกรียนเสมอ เหมือนว่าเป็นการแสดงทัศนคติความ "เหนือกว่า" เสียมากกว่า โดยไม่มีหลักเกณฑ์ในการวัดใดๆ เป็นที่แน่ชัด บ่อยครั้งที่ผู้ที่ชี้หน้ากล่าวโทษคนอื่นว่าเกรียน ก็เป็นผู้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำหรือเป็น "เกรียน" เสียเอง

คำเหยียดสติปัญญาคำนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่า กลุ่มคนที่อยู่ในสภาวะเกรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ อาจจะด้วยเพราะเกมออนไลน์เปิดกว้างมากจนเกินไป จนเกิดการกระจุกตัวทางการแสดงออกในสถานที่เดียวกัน จนเมื่อเด็กๆ เกิดการคลุกคลีกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ่อยๆ จึงดูดซึมพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นมาใช้โดยไม่มีใครให้คำแนะนำ โดยพฤติกรรมที่เราจะพบเห็นได้จากเด็กที่อยู่ในสภาวะเกรียนก็คือ การกระทำที่ไร้ความคิด พฤติกรรมไร้เหตุผล พฤติกรรมก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด เมื่อเข้าสู่สภาวะเกรียนสมองซีกซ้ายจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งคนที่อยู่ข้างๆ ต้องเข้าระงับสติด้วยการ เบิร์ดกระบาล ซีกซ้ายซะหนึ่งที ก่อนที่อาการจะลุกลามถึงขั้น “โคบ้า” ถ้าเป็นพวกวิกฤติหนักๆ ก็อาจจะกลายเป็น “กระบือบ้า” ได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลเหล่านั้นมักไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเกรียน ซึ่งดูเหมือนเป็นการแบ่งแยกทางสังคม บางครั้งก็กลับเรียกบุคคลอื่นว่าเป็นเกรียนก็มี

และเนื่องด้วยนิสัยส่วนตัวที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เกรียนจึงใช้ศัพท์สแลงแทนตัวอีกคำหนึ่งคือ เทพ เช่น เกรียนเทพ เป็นต้น ซึ่งใช้เปรียบว่าตนเองมีอำนาจหรือมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้อื่น และมองผู้อื่นว่าด้อยกว่าตน เนื่องจากต้องการเขียนแบบเท่ๆ (ไม่ได้เกิดจากการที่เว็บไซต์หรือระบบในเกมออนไลน์บางแห่งไม่รองรับอักษรไทยแต่อย่างใด) จึงเขียนเป็น "Inw" หรือ "lnw"(ไอ เอ็น ดับเบิลยู หรือ แอล เอ็น ดับเบิลยู) ในลักษณะลีทซึ่งคล้ายคำว่า เทพ คำนี้สามารถพบเห็นได้บ่อยพอๆ กับคำว่าเกรียนและถูกใช้ควบคู่กันเรื่อยมา

เกรียนอาจจัดได้ว่าเป็น 'นูบ' (noob) ประเภทหนึ่ง ซึ่งแผลงมาจากคำว่า 'นิวบี' หรือ 'นูบี' (newbie: อเมริกันอ่านว่า นูบี แต่ไทยอ่าน นิวบี) คือ ผู้มาใหม่ หมายถึงบุคคลในอินเทอร์เน็ตที่เป็นสมาชิกใหม่ในเว็บบอร์ดหรือเกมออนไลน์หนึ่งๆ ที่ยังไม่รู้จักธรรมเนียมและมารยาทในสังคมนั้น และทำสิ่งที่ผิดพลาดในเรื่องที่ไม่สมควรจะผิดพลาด เป็นต้น

แต่ในเกมออนไลน์ของไทยนั้น เกรียนมักจะไม่ทราบหรือไม่สนใจความหมายที่แท้จริงของคำว่านูป จึงสรุปเอาเองว่านูปแปลว่าเล่นไม่ได้ดั่งใจตัวเกรียน ซึ่งน่าเศร้าใจมาก


ข้อมูลควรรู้
ร้อยละ 0.01 ของเกรียนเป็นผู้หญิงท่าทางเรียบร้อย (หรืออาจะไม่เรียบร้อย แต่ก็มีให้เห็น แม้จะยากมากกกก็ตาม)
ถ้าเป็นจริงรบกวนคุณผู้ชายช่วยดูแลแฟนคุณอย่างใกล้ชิดด้วย
ร้อยละ 70 ของเด็กผู้ชายใส่แว่นท่าทางเด็กเรียนส่วนใหญ่มักจะทำตัวเกรียนในเกมส์ออนไลน์
และร้อยละ 50 ของบุคลในวัยเรียนทั่วประเทศ เกรียน
พฤติกรรมที่เกรียนแสดงออกนั่นคือ เป็นสิ่งที่ใช้แต่ปาก และมือพิมพ์ ดังนั่นเกรียนจึงไม่มีบทบาทในโลกความจริง
ในโทรศัพท์มือถือมักจะมีแต่คลิบโป๊,โดจิน,เบอร์ผู้หญิง ฯลฯ
ร้อยละ 60 ของเกย์คิงทั่วประเทศ เกรียน
ร้อยละ 50 ของเกรียน เล่นเกมส์ Ragnarok DotA Pangya Luna SF อย่างใดอย่างหนึ่ง
ร้อยละ 50 ของเกรียน จะมีเว็ปบอร์ดประจำที่ตนสิงสู่อยู่
ร้อยละ 80 ของเกรียน จะพูดเรื่องเกมกับเพื่อนมากกว่าที่จะคุยเรื่องอื่นและจะมีความสุขเป็นอย่างมากถ้าพวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับวีรกรรมของเขา (หมายเหตุ คำว่าพูดคุยสำหรับเกรียนเปรียบเทียบได้เท่ากับคำว่า "โม้")
ร้อยละ 99.9999 ของเกรียน จะไม่ยอมรับว่าตัวเองคือเกรียน
ท่านสามารถเห็นเกรียนได้ตามร้านเกมทั่วไป 99.95431004% ของเกรียนในร้านเกมจะชอบตะโกนโหวกเหวก
ร้อยละ 80 ของเกรียนตามร้านเกม จะติดคำพูด คำหนึ่งคือ "dotไหมพี่?"
ร้อยละ 99 ของเกรียนตามร้านเกมที่ติดคำว่า "dotไหมพี่?" จะแพ้เสมอๆ แต่พวกเขาก็สามารถหาข้ออ้างมาแก้ตัวได้เช่นกัน ส่วนมากจะใช้คำว่า "กุอ่อนให้"

อาการที่เรียกว่า เกรียน
เกรียน มักจะมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงในจินตนาการ แต่ปฏิบัติตัวตรงกันข้าม อยากเทพแต่ทำตัว:X เกรียนประเภทนี้มีคนให้นิยามจำแนกออกมาเป็น กลุ่ม เทพเกรียน หรือ King of เกรียน หรือ เกรียน เหนือ เกรียน

เกรียน มักจะมีความอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกน้อยกว่าบุคคลปกติ และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ มักแสดงออกทางคำพูด มากกว่าทางความคิด หรือทีเรียกว่า “แพล่มมาก พูดโดยไม่คิด” ในบางรายจะชอบด่าทอผู้อื่นแบบไร้เหตุผล โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ จนบางครั้งก้าวล่วงไปถึงบุพการีของผู้อื่น

เกรียนบางส่วนจะมีความสุขไปกับการด่าคนแบบไร้เหตุผล และไร้ขีดจำกัด โดยเกรียนบางตัวจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีผู้ออกมาตอบโต้ พอเห็นคนเข้ามาด่าก็นั่งอมยิ้มชื่นใจ เสมือนว่ามีคนมาใส่ใจตน จนกลายเป็นค่านิยมเสพติดของพวกเขาไปแล้ว แต่ยังมีเกรียนบางตัวที่ไม่พอใจเมื่อถูกด่าตอบ บ่อยครั้งชาวเกรียนอาจมีพฤติกรรมที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ดังจะพบได้ตามเว็บบอร์ด ในกระทู้ต่างๆ รวมทั้งในกระทู้ดักต่างๆ :-)

อาการหนึ่งที่เห็นได้ชัดจาก กลุ่มเกรียนคือกลุ่มคนที่มี IQ และ EQ ต่ำ เนื่องจากไม่ค่อยชอบใช้ความคิด ชอบใช้แต่อารมณ์ สมองไม่สามารถดูดซึมเหตุผลเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปลุกเร้าอารมณ์ก้าวร้าวจะตื่นตัวในทันที

ข้อคิดจากเหรียญสลึง


คุณค่าของงานเหรียญสลึง

โดย.. สุณิสา ม่วงสุขศรี

เมื่อมีเวลาว่าง ผู้เขียนชอบมานั่งคุยกับหัวหน้า (บางทีก็ดูเหมือนทะเลาะกันซะมากกว่า) มันรู้สึกว่าเราได้ข้อคิดดีๆ แล้วก็นำไปใช้ได้หลายต่อหลายเรื่อง ท่านผู้อ่านลองหาเวลาพูดคุยกับใครสักคน อาจจะเป็นหัวหน้าหรือคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ แล้วท่านจะรู้ว่า บางเรื่องที่คุยกันธรรมดานั้น อาจแฝงไปด้วยข้อคิดที่ดี อย่างในวันนี้ผู้เขียนก็มีเรื่องเหรียญมาเล่าให้ฟัง

เหรียญสลึงหรือเหรียญบาท ที่เรามักมองว่ามีค่าราคาน้อย และเราก็ไม่ค่อยใส่ใจว่ามีมันอยู่ในมือ แต่พอนำมารวมกัน เช่น ในกระปุกออมสิน จะเห็นว่าเหรียญที่แทบหามูลค่าไม่ได้นั้น กลายเป็นจำนวนเงินก้อนโตจนเราคาดไม่ถึงก็ได้

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่มีโอกาสได้นั่งคุยกับหัวหน้า จำไม่ได้ว่ากำลังคุยกันถึงเรื่องอะไร แต่ก็คงจะต้องเกี่ยวข้องกับคำถามนี้แน่ ๆ หัวหน้าถามว่า "ทำงานมาตั้งนาน ได้อะไรกลับไปบ้างหรือยัง?" ไม่เข้าใจว่าหัวหน้าต้องการให้ตอบอะไร หรือคาดหวังว่าเราต้องได้อะไรในการที่เรามาทำงานกับเขา ซึ่งพอเขาถามก็ตอบไปว่า "ยังไม่ได้อะไรเลย" ที่ตอบแบบนั้นเพราะเห็นว่า ตั้งแต่มาทำงาน ยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จตามเป้าหมายเป็นชิ้นเป็นอันสักครั้ง แถมงานที่ให้ทำยังมีข้อผิดพลาดตลอด

ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาทำงาน ผู้เขียนได้รับมอบหมายงานที่เกี่ยวกับการพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอกสาร ข้อมูลรายชื่อลูกค้า และอื่นๆ อีกมากมาย (จิ้มซะเมื่อยนิ้วเลย) ส่วนใหญ่ก็จะทำแต่แบบนี้ มีช่วงหลังๆ หัวหน้าลองให้เขียนหลักการและเหตุผลของหลักสูตรสัมมนา เราก็พยายามเขียนอย่างดีที่สุดเหมือนกับสมัยเรียน (ส่งอาจารย์ทีไรก็ได้คะแนนเต็มทุกที) พอเขียนเสร็จก็เอามาให้หัวหน้าดู เขาบอกคำเดียวสั้นๆ "ใช้ไม่ได้" ให้ไปลองเขียนมาใหม่ (เราก็ว่าเขียนดีที่สุดแล้วนะ) จำได้ว่างานนั้นเขียนแก้อยู่ตั้ง 4-5 รอบ ก็ยังไม่ถูกใจหัวหน้า (สุดท้ายหัวหน้าก็ต้องเป็นคนเขียนเองทั้งหมด)

นอกจากนี้ บางครั้งก็ได้รับมอบหมายให้ไปส่งไปรษณีย์ ไปยื่นแบบภาษีฯ ที่สำนักงานเขต หรือไม่ก็ให้ไปฝาก-ถอนเงินที่ธนาคาร ฯลฯ ซึ่งงานเหล่านี้ผู้เขียนเองก็ไม่เคยทำมาก่อน แรกๆ ก็งงๆ เหมือนกัน พอไปหลายครั้งเข้า ก็เริ่มรู้ทาง

แต่โดยรวมๆ แล้ว ผู้เขียนรู้สึกว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที แค่ไปตามสถานที่ต่างๆ ตามที่เขาสั่ง แล้วก็ไปยื่นเอกสารเท่านั้น (แล้วมันได้อะไรตรงไหนล่ะ) นี่แหละคือเหตุผลที่ตอบหัวหน้าไปว่า "ยังไม่ได้อะไรเลย"

หัวหน้าบอกว่า "อย่าเพิ่งมองสิ่งที่ได้รับมอบหมายว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ใหญ่โตเสมอไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำในแต่ละวัน แม้เป็นสิ่งเล็กๆ แต่มันก็ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งเหล่านั้นมิใช่เหรอ พอเอามารวมๆ กัน ก็น่าจะได้อะไรตั้งเยอะแยะ" ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่า หัวหน้ากำลังบอกอะไร ก็ชิงแย้งไปทันทีว่า "แค่นี้นะเหรอ...ที่ว่าได้อะไรตั้งเยอะแยะน่ะ"

ถามสั้นๆ ตอบสั้นๆ แต่ก็เป็นเรื่องขึ้นมาทุกที หัวหน้าบอกว่า "เธอเป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเหรียญสลึง หรือแม้กระทั่งเหรียญบาทที่ได้รับทุกวัน ไม่เคยใส่ใจ ไม่เห็นคุณค่า แต่ถ้าเธอเก็บเหรียญเหล่านั้นหยอดกระปุกทุกวัน วันหนึ่งที่เธอทุบกระปุกออกมาจะพบว่ามีเงินจำนวนมากในกระปุกใบนั้น"

หัวหน้าอธิบายต่อว่า "เวลาเธอทำงานส่งอาจารย์ ส่งแล้วก็แล้วกันใช่มั๊ย? เคยมีอาจารย์คนไหนมาสาธยายให้ฟังมั๊ยว่า งานของเธอดีหรือไม่ดีอย่างไร ต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างไรอีก ซึ่งเธอไม่มีโอกาสรู้ว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นเป็นอย่างไร" ผู้เขียนลองคิดตามก็เห็นจริงดังที่หัวหน้าบอก

"แรกๆ เธอต้องเขียนแก้งานมาส่งพี่ 4-5 ครั้ง เดี๋ยวนี้..อย่างมากก็แค่ 2 ครั้ง ถามว่าแบบนี้มีพัฒนาการเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า"

"เธอไม่เคยไปทำธุรกรรมใดๆ ที่ธนาคารมาก่อน วันนี้เธอได้ทำ และเริ่มทำได้คล่องแคล่วขึ้น เธอเคยเรียนมาว่า บริษัทธุรกิจจะต้องนำส่งเงินสมทบประกันสังคม หรือต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีซื้อ-ภาษีขายในแต่ละเดือน นั่นมันทฤษฎี แต่ถึงวันนี้เธอได้ไปยื่นมาแล้วจริงๆ เธอรู้ว่าต้องไปที่ไหน ไปติดต่อช่องไหน

เอาเอกสารอะไรไปบ้าง ซึ่งเพื่อนๆ เธออีกหลายคนยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำ แบบนี้ถามว่า เธอยังไม่ได้อะไรจากการทำงานอีกเหรอ"

หัวหน้าสรุปส่งท้ายว่า "ถ้าสิ่งเหล่านี้เธอยังรู้สึกว่าไม่ได้อะไร ก็เหมือนกับเธอมองข้ามเหรียญสลึงเหรียญบาท เธอคาดหวังอยากจะได้แต่แบงค์ห้าร้อยหรือแบงค์พัน ซึ่งจะได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เศษเหรียญที่เธอทิ้งๆ ไปนั้น ตอนนี้อาจจะมีมูลค่ารวมกันเกินหนึ่งพันบาทแล้วก็ได้" หัวหน้ายังบอกอีกว่า ให้ผู้เขียนลองยกตัวอย่างที่รู้สึกว่าเป็นงานแบงค์ห้าร้อยหรือแบงค์พันให้ฟังหน่อยซิ แต่ผู้เขียนก็นึกไม่ออกเหมือนกัน

สุดท้ายผู้เขียนก็พบความจริงที่ว่า งานที่เราทำจนชินทุกวันนั้น ดูเผินๆ เหมือนว่าไม่เห็นจะได้เรียนรู้อะไรเลย ทั้งยังรู้สึกว่าไม่ได้อะไรจากการทำงานสักทีนั้น ขอบอกว่าคนที่คิดแบบนี้ คุณกำลังมองข้ามประสบการณ์ที่คุณได้เก็บสะสมอยู่ทุกวันไป ในอนาคตคุณอาจจะเปิดกิจการหรือทำธุรกิจเป็นของตัวเอง สิ่งแรกที่คุณจะนึกถึง อาจเป็นสิ่งที่คุณบอกว่าคุณไม่เคยได้อะไรจากงานที่คุณทำก็เป็นได้

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มันย่อมจะมีคุณค่าในตัวของมัน และอาจจะยังมีคุณค่าต่อคนอีกหลายๆ คน อย่างเรื่องที่เล่ามานี้มองได้หลายแง่มุม ถ้าจะมองกันในแง่ของพนักงานอยากให้คิดว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความชำนาญและกลายเป็นประสบการณ์ของเราต่อไป ซึ่งจะค่อยๆ ซึมซับไปแบบไม่รู้ตัว ส่วนในแง่ของหัวหน้างาน งานเล็กๆ ที่พนักงานทำ ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อองค์กร เพราะงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น หัวหน้าคนเดียวก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ หรืออาจจะต้องเสียเวลามากจนไม่มีเวลาไปคิดงานใหญ่ ดังนั้น สรุปก็คือ ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ ถ้าตั้งใจทำ...ก็จะสามารถทำได้ดี ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ต่อตนเอง และอาจจะนำมาซึ่งภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับองค์กรในอนาคตก็เป็นได้

บทความใน e-HRIT

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP