วันนี้เห็นคำว่าเกรียนในบอร์ดเยอะ และมันส์สุด ๆ กับ
"ชนีเกรียนไล่ตบเสือ"
เลยลอง Search ดูใน Google
คำว่าเกรียน ติดอันดับ Keyword การค้นหา จนมีสถิติการใช้คำ ๆ นี้ขึ้นใน Google ด้วย
เรามาดูกัน
Keyword "เกรียน หมายถึง" 232,000 ผลการค้นหา
Keyword "เกรียน ความหมาย" 247,000 ผลการค้นหา
Keyword "เกรียน คืออะไร" 186,000 ผลการค้นหา
Keyword "เกรียน แปลว่าอะไร" 246,000 ผลการค้นหา
และนี้คือความหมายของเกรียน (เอามาจาก ไร้สาระนุกรม)
"
เกรียน เป็นคำสแลงแทนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมก่อกวน ก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด ไร้เหตุผล หรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของสังคมอินเทอร์เน็ต โดยมักจะแสดงออกในลักษณะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนเด็กไม่ได้รับความสนใจ บุคคลกลุ่มนี้จะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลหรือการวิเคราะห์ไตร่ตรอง
คำว่า เกรียน มาจากทัศนคติของบุคคลที่เป็นเด็กนักเรียนชายที่ตัดผมสั้นหัวเกรียน ซึ่งมักจะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวอยู่บ่อยๆ และกลุ่มบุคคลที่อยู่ในสภาวะเกรียน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และยังเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์อีกด้วย เมื่อถูกเรียกบ่อยครั้งเข้า คำนี้จึงใช้แทนกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเหล่านั้นไปเสีย โดยไม่คำนึงถึงอายุ มีการเปรียบเทียบว่า เกรียน คล้ายกับลักษณะของ นู้บ (noob, n00b) หรือ นูบี (newbie) ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลในอินเทอร์เน็ตตามเว็บบอร์ด หรือเกมออนไลน์ ที่มักจะเป็นคนใหม่และทำตัวเหมือนรู้ทุกเรื่อง (แต่ไม่ได้รู้จริงหรือไม่รู้เลย)
หากเปิดหาคำนี้ใน พจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 141 จะพบว่าถูกนิยามความหมายไว้ 3 ความหมายด้วยกันดังนี้
เกรียน ๑ [เกรียน] ว. สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนังหรือ พื้นที่ เช่น ผมเกรียน หมาขนเกรียน หญ้าเกรียน
เกรียน ๒ [เกรียน] ดู เลี่ยน ๑.
เกรียน ๓ [เกรียน] น. แป้งซึ่งนวดด้วยน้ำร้อนแล้วไม่น่ายเป็นเม็ดปนอยู่ เม็ดนั้นเรียกว่า เกรียน; เรียกปลายข้าวขนาดเล็กว่า ข้าวปลายเกรียน
นอกจากนี้ยังมีความหมายถึงผู้ที่ไม่มีมารยาทในการเล่นอินเทอร์เน็ต โดยจะเห็นตัวอย่างบ่อยๆ ในเกมออนไลน์ ซึ่งคำว่าเกรียนในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว ไม่ใช่หมายถึงนักเรียนทั้งหมดที่ไว้ผมสั้นเกรียนแต่อย่างใด (ดูคำอธิบายด้านล่าง)
วันนี้ผมไม่ได้มาพูดถึงคำนี้ตามที่พจนานุกรมให้นิยามไว้หรอกนะครับ แต่ผมขอพูดถึงมันในแง่มุมของมนุษย์ Cyber กันดีกว่า เราจะมาค้นหาความหมายของมันกัน และเมื่อรู้ความหมายแล้วอย่าลืมสำรวจตัวเองด้วยนะว่าคุณ “เกรียนหรือเปล่า” "
ต้นกำเนิดแห่ง เกรียน
เกรียน คำนี้มีต้นกำเนิดมาจาก Member บนบอร์ดประมูลที่ชื่อ TeamKasuya-X เชื่อว่าพวกสมัยก่อนจะจำได้ดี ซึ่งอยู่ในยุคที่กระทู้ของบอร์ด RO มีแต่คำว่า :Xกับห่า นอกจากนี้ TeamKasuya-X ยังมีพรรคพวกเยอะแยะเช่น ^NaMaSiS^ sasano DarkBug และอีกเยอะแยะมากมาย
คำว่าเกรียนถือกำเนิดขึ้นนานมาแล้ว ในสมัยที่เกมส์ออนไลน์ที่ชื่อ Ragnarok กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขั้นสูงสุด จนก่อให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย เด็กๆ ที่ยังมีวุฒิภาวะไม่พอ ติดเกมส์กันอย่างหนักถึงขั้นลักขโมยเงินพ่อแม่มาเล่นเกมส์ ทำให้กระทรวง ICT ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องเหล่านี้โดยตรง ได้ประกาศกฎห้ามเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเล่นเกมส์หลังเวลา 22.00 นาฬิกา ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างสำหรับเด็กๆ ที่ติดเกมส์งอมแงม โดยเด็กๆ พวกนี้มักจะเข้าไปพูดคุยกันในเวปบอร์ดชื่อดังแห่งหนึ่งชื่อว่า บอร์ด ประมูล (http://www.pramool.com/webboard/ ) ในครั้งแรกผู้สร้างเวปบอร์ดแห่งนี้มีเจตนาจัดทำเวปขึ้นเพื่อซื้อขายสินค้า แต่แล้วใครจะรู้ว่าภายหลังเวปแห่งนี้จะกลายเป็นที่รวบรวมการแสดงออกพฤติกรรมของเด็กๆ ที่ขาดกฎเกมส์การควบคุม เช่น ตั้งกระทู้ด่ากัน แจกโปรแกรมโกงการเล่นเกมส์ Ragnarok ที่มีชื่อเสียงมากในช่วงนั้น ดังนั้นเมื่อมีกฎจากกระทรวง ICT เกิดขึ้นจึงได้มีบุคคลๆ หนึ่งที่มีชื่อเสียงในเวปบอร์ด ได้ตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยถากถางเด็กๆ พวกนั้นด้วยความสะใจและได้กล่าววลีอมตะตลอดกาลขึ้นมาว่า "เกรียน" ซึ่งได้ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
กลุ่มที่อยู่ในสภาวะ เกรียน
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดจนเหมารวมไปเลยว่า เกรียน คือ กลุ่มเด็ก ตั้งแต่ ป.1 จนถึง มัธยมปลาย (โรงเรียนบางแห่งปกครองโดยระบอบเผด็จการ จึงได้กระทำเช่นนั้นกับเยาวชนไปจนถึง ม. ปลาย) ที่ตัดผมสั้นเกรียน สาเหตุที่หลายคนตีความแบบนั้นอาจจะเป็นด้วยลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นคือทรงผมที่เลี่ยนเกรียนติดหนังหัว ซึ่งความจริงแล้วลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงรากศัพท์ของคำว่า เกรียน เท่านั้นเอง หากแต่ในความเป็นจริง ตามหลักของ “กฎของเกรียน” หรือ “เกรียน Law” คือ “ความเกรียนไม่จำกัด ทรงผม อายุ เพศ หรือ ฐานะ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในความเกรียนเหมือนกันหมด” ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่า สภาวะเกรียน เป็นสภาวะของพฤติกรรม ทางความคิด หาใช่ลักษณะทางกายภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจกันไม่
ทำไมต้อง เกรียน
สังคมที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นคนที่ดี จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นเกรียนเสมอ เหมือนว่าเป็นการแสดงทัศนคติความ "เหนือกว่า" เสียมากกว่า โดยไม่มีหลักเกณฑ์ในการวัดใดๆ เป็นที่แน่ชัด บ่อยครั้งที่ผู้ที่ชี้หน้ากล่าวโทษคนอื่นว่าเกรียน ก็เป็นผู้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำหรือเป็น "เกรียน" เสียเอง
คำเหยียดสติปัญญาคำนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่า กลุ่มคนที่อยู่ในสภาวะเกรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ อาจจะด้วยเพราะเกมออนไลน์เปิดกว้างมากจนเกินไป จนเกิดการกระจุกตัวทางการแสดงออกในสถานที่เดียวกัน จนเมื่อเด็กๆ เกิดการคลุกคลีกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ่อยๆ จึงดูดซึมพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นมาใช้โดยไม่มีใครให้คำแนะนำ โดยพฤติกรรมที่เราจะพบเห็นได้จากเด็กที่อยู่ในสภาวะเกรียนก็คือ การกระทำที่ไร้ความคิด พฤติกรรมไร้เหตุผล พฤติกรรมก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด เมื่อเข้าสู่สภาวะเกรียนสมองซีกซ้ายจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งคนที่อยู่ข้างๆ ต้องเข้าระงับสติด้วยการ เบิร์ดกระบาล ซีกซ้ายซะหนึ่งที ก่อนที่อาการจะลุกลามถึงขั้น “โคบ้า” ถ้าเป็นพวกวิกฤติหนักๆ ก็อาจจะกลายเป็น “กระบือบ้า” ได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลเหล่านั้นมักไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเกรียน ซึ่งดูเหมือนเป็นการแบ่งแยกทางสังคม บางครั้งก็กลับเรียกบุคคลอื่นว่าเป็นเกรียนก็มี
และเนื่องด้วยนิสัยส่วนตัวที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เกรียนจึงใช้ศัพท์สแลงแทนตัวอีกคำหนึ่งคือ เทพ เช่น เกรียนเทพ เป็นต้น ซึ่งใช้เปรียบว่าตนเองมีอำนาจหรือมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้อื่น และมองผู้อื่นว่าด้อยกว่าตน เนื่องจากต้องการเขียนแบบเท่ๆ (ไม่ได้เกิดจากการที่เว็บไซต์หรือระบบในเกมออนไลน์บางแห่งไม่รองรับอักษรไทยแต่อย่างใด) จึงเขียนเป็น "Inw" หรือ "lnw"(ไอ เอ็น ดับเบิลยู หรือ แอล เอ็น ดับเบิลยู) ในลักษณะลีทซึ่งคล้ายคำว่า เทพ คำนี้สามารถพบเห็นได้บ่อยพอๆ กับคำว่าเกรียนและถูกใช้ควบคู่กันเรื่อยมา
เกรียนอาจจัดได้ว่าเป็น 'นูบ' (noob) ประเภทหนึ่ง ซึ่งแผลงมาจากคำว่า 'นิวบี' หรือ 'นูบี' (newbie: อเมริกันอ่านว่า นูบี แต่ไทยอ่าน นิวบี) คือ ผู้มาใหม่ หมายถึงบุคคลในอินเทอร์เน็ตที่เป็นสมาชิกใหม่ในเว็บบอร์ดหรือเกมออนไลน์หนึ่งๆ ที่ยังไม่รู้จักธรรมเนียมและมารยาทในสังคมนั้น และทำสิ่งที่ผิดพลาดในเรื่องที่ไม่สมควรจะผิดพลาด เป็นต้น
แต่ในเกมออนไลน์ของไทยนั้น เกรียนมักจะไม่ทราบหรือไม่สนใจความหมายที่แท้จริงของคำว่านูป จึงสรุปเอาเองว่านูปแปลว่าเล่นไม่ได้ดั่งใจตัวเกรียน ซึ่งน่าเศร้าใจมาก
ข้อมูลควรรู้
ร้อยละ 0.01 ของเกรียนเป็นผู้หญิงท่าทางเรียบร้อย (หรืออาจะไม่เรียบร้อย แต่ก็มีให้เห็น แม้จะยากมากกกก็ตาม)
ถ้าเป็นจริงรบกวนคุณผู้ชายช่วยดูแลแฟนคุณอย่างใกล้ชิดด้วย
ร้อยละ 70 ของเด็กผู้ชายใส่แว่นท่าทางเด็กเรียนส่วนใหญ่มักจะทำตัวเกรียนในเกมส์ออนไลน์
และร้อยละ 50 ของบุคลในวัยเรียนทั่วประเทศ เกรียน
พฤติกรรมที่เกรียนแสดงออกนั่นคือ เป็นสิ่งที่ใช้แต่ปาก และมือพิมพ์ ดังนั่นเกรียนจึงไม่มีบทบาทในโลกความจริง
ในโทรศัพท์มือถือมักจะมีแต่คลิบโป๊,โดจิน,เบอร์ผู้หญิง ฯลฯ
ร้อยละ 60 ของเกย์คิงทั่วประเทศ เกรียน
ร้อยละ 50 ของเกรียน เล่นเกมส์ Ragnarok DotA Pangya Luna SF อย่างใดอย่างหนึ่ง
ร้อยละ 50 ของเกรียน จะมีเว็ปบอร์ดประจำที่ตนสิงสู่อยู่
ร้อยละ 80 ของเกรียน จะพูดเรื่องเกมกับเพื่อนมากกว่าที่จะคุยเรื่องอื่นและจะมีความสุขเป็นอย่างมากถ้าพวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับวีรกรรมของเขา (หมายเหตุ คำว่าพูดคุยสำหรับเกรียนเปรียบเทียบได้เท่ากับคำว่า "โม้")
ร้อยละ 99.9999 ของเกรียน จะไม่ยอมรับว่าตัวเองคือเกรียน
ท่านสามารถเห็นเกรียนได้ตามร้านเกมทั่วไป 99.95431004% ของเกรียนในร้านเกมจะชอบตะโกนโหวกเหวก
ร้อยละ 80 ของเกรียนตามร้านเกม จะติดคำพูด คำหนึ่งคือ "dotไหมพี่?"
ร้อยละ 99 ของเกรียนตามร้านเกมที่ติดคำว่า "dotไหมพี่?" จะแพ้เสมอๆ แต่พวกเขาก็สามารถหาข้ออ้างมาแก้ตัวได้เช่นกัน ส่วนมากจะใช้คำว่า "กุอ่อนให้"
อาการที่เรียกว่า เกรียน
เกรียน มักจะมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงในจินตนาการ แต่ปฏิบัติตัวตรงกันข้าม อยากเทพแต่ทำตัว:X เกรียนประเภทนี้มีคนให้นิยามจำแนกออกมาเป็น กลุ่ม เทพเกรียน หรือ King of เกรียน หรือ เกรียน เหนือ เกรียน
เกรียน มักจะมีความอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกน้อยกว่าบุคคลปกติ และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ มักแสดงออกทางคำพูด มากกว่าทางความคิด หรือทีเรียกว่า “แพล่มมาก พูดโดยไม่คิด” ในบางรายจะชอบด่าทอผู้อื่นแบบไร้เหตุผล โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ จนบางครั้งก้าวล่วงไปถึงบุพการีของผู้อื่น
เกรียนบางส่วนจะมีความสุขไปกับการด่าคนแบบไร้เหตุผล และไร้ขีดจำกัด โดยเกรียนบางตัวจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีผู้ออกมาตอบโต้ พอเห็นคนเข้ามาด่าก็นั่งอมยิ้มชื่นใจ เสมือนว่ามีคนมาใส่ใจตน จนกลายเป็นค่านิยมเสพติดของพวกเขาไปแล้ว แต่ยังมีเกรียนบางตัวที่ไม่พอใจเมื่อถูกด่าตอบ บ่อยครั้งชาวเกรียนอาจมีพฤติกรรมที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ดังจะพบได้ตามเว็บบอร์ด ในกระทู้ต่างๆ รวมทั้งในกระทู้ดักต่างๆ :-)
อาการหนึ่งที่เห็นได้ชัดจาก กลุ่มเกรียนคือกลุ่มคนที่มี IQ และ EQ ต่ำ เนื่องจากไม่ค่อยชอบใช้ความคิด ชอบใช้แต่อารมณ์ สมองไม่สามารถดูดซึมเหตุผลเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปลุกเร้าอารมณ์ก้าวร้าวจะตื่นตัวในทันที
เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome
This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome
เขียนโดย
sp
ที่
23:40
คุณค่าของงานเหรียญสลึง
โดย.. สุณิสา ม่วงสุขศรี
เมื่อมีเวลาว่าง ผู้เขียนชอบมานั่งคุยกับหัวหน้า (บางทีก็ดูเหมือนทะเลาะกันซะมากกว่า) มันรู้สึกว่าเราได้ข้อคิดดีๆ แล้วก็นำไปใช้ได้หลายต่อหลายเรื่อง ท่านผู้อ่านลองหาเวลาพูดคุยกับใครสักคน อาจจะเป็นหัวหน้าหรือคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ แล้วท่านจะรู้ว่า บางเรื่องที่คุยกันธรรมดานั้น อาจแฝงไปด้วยข้อคิดที่ดี อย่างในวันนี้ผู้เขียนก็มีเรื่องเหรียญมาเล่าให้ฟัง
เหรียญสลึงหรือเหรียญบาท ที่เรามักมองว่ามีค่าราคาน้อย และเราก็ไม่ค่อยใส่ใจว่ามีมันอยู่ในมือ แต่พอนำมารวมกัน เช่น ในกระปุกออมสิน จะเห็นว่าเหรียญที่แทบหามูลค่าไม่ได้นั้น กลายเป็นจำนวนเงินก้อนโตจนเราคาดไม่ถึงก็ได้
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่มีโอกาสได้นั่งคุยกับหัวหน้า จำไม่ได้ว่ากำลังคุยกันถึงเรื่องอะไร แต่ก็คงจะต้องเกี่ยวข้องกับคำถามนี้แน่ ๆ หัวหน้าถามว่า "ทำงานมาตั้งนาน ได้อะไรกลับไปบ้างหรือยัง?" ไม่เข้าใจว่าหัวหน้าต้องการให้ตอบอะไร หรือคาดหวังว่าเราต้องได้อะไรในการที่เรามาทำงานกับเขา ซึ่งพอเขาถามก็ตอบไปว่า "ยังไม่ได้อะไรเลย" ที่ตอบแบบนั้นเพราะเห็นว่า ตั้งแต่มาทำงาน ยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จตามเป้าหมายเป็นชิ้นเป็นอันสักครั้ง แถมงานที่ให้ทำยังมีข้อผิดพลาดตลอด
ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาทำงาน ผู้เขียนได้รับมอบหมายงานที่เกี่ยวกับการพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอกสาร ข้อมูลรายชื่อลูกค้า และอื่นๆ อีกมากมาย (จิ้มซะเมื่อยนิ้วเลย) ส่วนใหญ่ก็จะทำแต่แบบนี้ มีช่วงหลังๆ หัวหน้าลองให้เขียนหลักการและเหตุผลของหลักสูตรสัมมนา เราก็พยายามเขียนอย่างดีที่สุดเหมือนกับสมัยเรียน (ส่งอาจารย์ทีไรก็ได้คะแนนเต็มทุกที) พอเขียนเสร็จก็เอามาให้หัวหน้าดู เขาบอกคำเดียวสั้นๆ "ใช้ไม่ได้" ให้ไปลองเขียนมาใหม่ (เราก็ว่าเขียนดีที่สุดแล้วนะ) จำได้ว่างานนั้นเขียนแก้อยู่ตั้ง 4-5 รอบ ก็ยังไม่ถูกใจหัวหน้า (สุดท้ายหัวหน้าก็ต้องเป็นคนเขียนเองทั้งหมด)
นอกจากนี้ บางครั้งก็ได้รับมอบหมายให้ไปส่งไปรษณีย์ ไปยื่นแบบภาษีฯ ที่สำนักงานเขต หรือไม่ก็ให้ไปฝาก-ถอนเงินที่ธนาคาร ฯลฯ ซึ่งงานเหล่านี้ผู้เขียนเองก็ไม่เคยทำมาก่อน แรกๆ ก็งงๆ เหมือนกัน พอไปหลายครั้งเข้า ก็เริ่มรู้ทาง
แต่โดยรวมๆ แล้ว ผู้เขียนรู้สึกว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที แค่ไปตามสถานที่ต่างๆ ตามที่เขาสั่ง แล้วก็ไปยื่นเอกสารเท่านั้น (แล้วมันได้อะไรตรงไหนล่ะ) นี่แหละคือเหตุผลที่ตอบหัวหน้าไปว่า "ยังไม่ได้อะไรเลย"
หัวหน้าบอกว่า "อย่าเพิ่งมองสิ่งที่ได้รับมอบหมายว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ใหญ่โตเสมอไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำในแต่ละวัน แม้เป็นสิ่งเล็กๆ แต่มันก็ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งเหล่านั้นมิใช่เหรอ พอเอามารวมๆ กัน ก็น่าจะได้อะไรตั้งเยอะแยะ" ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่า หัวหน้ากำลังบอกอะไร ก็ชิงแย้งไปทันทีว่า "แค่นี้นะเหรอ...ที่ว่าได้อะไรตั้งเยอะแยะน่ะ"
ถามสั้นๆ ตอบสั้นๆ แต่ก็เป็นเรื่องขึ้นมาทุกที หัวหน้าบอกว่า "เธอเป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเหรียญสลึง หรือแม้กระทั่งเหรียญบาทที่ได้รับทุกวัน ไม่เคยใส่ใจ ไม่เห็นคุณค่า แต่ถ้าเธอเก็บเหรียญเหล่านั้นหยอดกระปุกทุกวัน วันหนึ่งที่เธอทุบกระปุกออกมาจะพบว่ามีเงินจำนวนมากในกระปุกใบนั้น"
หัวหน้าอธิบายต่อว่า "เวลาเธอทำงานส่งอาจารย์ ส่งแล้วก็แล้วกันใช่มั๊ย? เคยมีอาจารย์คนไหนมาสาธยายให้ฟังมั๊ยว่า งานของเธอดีหรือไม่ดีอย่างไร ต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างไรอีก ซึ่งเธอไม่มีโอกาสรู้ว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นเป็นอย่างไร" ผู้เขียนลองคิดตามก็เห็นจริงดังที่หัวหน้าบอก
"แรกๆ เธอต้องเขียนแก้งานมาส่งพี่ 4-5 ครั้ง เดี๋ยวนี้..อย่างมากก็แค่ 2 ครั้ง ถามว่าแบบนี้มีพัฒนาการเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า"
"เธอไม่เคยไปทำธุรกรรมใดๆ ที่ธนาคารมาก่อน วันนี้เธอได้ทำ และเริ่มทำได้คล่องแคล่วขึ้น เธอเคยเรียนมาว่า บริษัทธุรกิจจะต้องนำส่งเงินสมทบประกันสังคม หรือต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีซื้อ-ภาษีขายในแต่ละเดือน นั่นมันทฤษฎี แต่ถึงวันนี้เธอได้ไปยื่นมาแล้วจริงๆ เธอรู้ว่าต้องไปที่ไหน ไปติดต่อช่องไหน
เอาเอกสารอะไรไปบ้าง ซึ่งเพื่อนๆ เธออีกหลายคนยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำ แบบนี้ถามว่า เธอยังไม่ได้อะไรจากการทำงานอีกเหรอ"
หัวหน้าสรุปส่งท้ายว่า "ถ้าสิ่งเหล่านี้เธอยังรู้สึกว่าไม่ได้อะไร ก็เหมือนกับเธอมองข้ามเหรียญสลึงเหรียญบาท เธอคาดหวังอยากจะได้แต่แบงค์ห้าร้อยหรือแบงค์พัน ซึ่งจะได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เศษเหรียญที่เธอทิ้งๆ ไปนั้น ตอนนี้อาจจะมีมูลค่ารวมกันเกินหนึ่งพันบาทแล้วก็ได้" หัวหน้ายังบอกอีกว่า ให้ผู้เขียนลองยกตัวอย่างที่รู้สึกว่าเป็นงานแบงค์ห้าร้อยหรือแบงค์พันให้ฟังหน่อยซิ แต่ผู้เขียนก็นึกไม่ออกเหมือนกัน
สุดท้ายผู้เขียนก็พบความจริงที่ว่า งานที่เราทำจนชินทุกวันนั้น ดูเผินๆ เหมือนว่าไม่เห็นจะได้เรียนรู้อะไรเลย ทั้งยังรู้สึกว่าไม่ได้อะไรจากการทำงานสักทีนั้น ขอบอกว่าคนที่คิดแบบนี้ คุณกำลังมองข้ามประสบการณ์ที่คุณได้เก็บสะสมอยู่ทุกวันไป ในอนาคตคุณอาจจะเปิดกิจการหรือทำธุรกิจเป็นของตัวเอง สิ่งแรกที่คุณจะนึกถึง อาจเป็นสิ่งที่คุณบอกว่าคุณไม่เคยได้อะไรจากงานที่คุณทำก็เป็นได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มันย่อมจะมีคุณค่าในตัวของมัน และอาจจะยังมีคุณค่าต่อคนอีกหลายๆ คน อย่างเรื่องที่เล่ามานี้มองได้หลายแง่มุม ถ้าจะมองกันในแง่ของพนักงานอยากให้คิดว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความชำนาญและกลายเป็นประสบการณ์ของเราต่อไป ซึ่งจะค่อยๆ ซึมซับไปแบบไม่รู้ตัว ส่วนในแง่ของหัวหน้างาน งานเล็กๆ ที่พนักงานทำ ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อองค์กร เพราะงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น หัวหน้าคนเดียวก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ หรืออาจจะต้องเสียเวลามากจนไม่มีเวลาไปคิดงานใหญ่ ดังนั้น สรุปก็คือ ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ ถ้าตั้งใจทำ...ก็จะสามารถทำได้ดี ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ต่อตนเอง และอาจจะนำมาซึ่งภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับองค์กรในอนาคตก็เป็นได้
บทความใน e-HRIT
เขียนโดย
sp
ที่
23:46