เพื่อการแสดงผลหน้าเว็ป SPVARIETY ที่ถูกต้องท่านควรใช้ IE8 Firefox & Google Chrome

Download Browsing Click Here

This page is optimized for IE8 Firefox & Google Chrome

ถอดรหัส "ทักษิณ 24 ชม. หลังยึดอำนาจ" ส่อสู้ไม่ถอย

|
















"...คุณต้องจำไว้ว่า ผมเป็นคนที่แต่งตั้งคุณเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมสนับสนุนคุณให้แก้ปัญหาภาคใต้ คุณอย่ายุ่งเรื่องการเมือง...หากคุณสัญญา ผมจะขยายเวลาให้อยู่ในตำแหน่งอีก 1 ปี"

ต่อไปนี้ เป็นการคัดย่อถอดความหนังสือ "ทักษิณ 24 ชั่วโมง หลังรัฐประหาร"(Thaksin 24 Hours After the Coup) เปิดตัวในงานสัปดาห์หนังสือที่ฮ่องกง ซึ่งวันนี้ถูกแปลเป็นพากย์ไทย รวมจำนวน 10 บท

...วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีครามและเงียบสงัด มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณภูมิโดยเฉลี่ย 23 ดีกรีเซลเซียส ระดับความชื้น 78% นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้า ช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานครนิวยอร์กเงียบสงัดที่สุด ลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้…

ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณ ขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรส ซิเดนท์เชี่ยลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รก ม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้องทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ เขานอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมา

...ฝ่ายทหารก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของ ร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ นักโทษผู้ต้องสงสัย เขาสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และเป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภจึงถูกสอบสวน เขาบอกว่า เขาถูกใส่ร้าย คนขับรถของเขาได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน

โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และหากว่าร้อยโทธวัชชัยจะสังหารทักษิณจริง “ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด” ดังนั้น “ ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น” โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม.....หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้...อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาอาจจะหนีไม่รอดแน่”


















คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเท็จ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เป็นบุคคลทางทหารที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของไทย ตอนที่เขาเพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ก็ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหารนักการเมืองที่ประวัติไม่ดี เมื่อทศวรรษที่ 1980 เขาเคยเข้าร่วมการรัฐประหารที่แท้งก่อนเกิด ซึ่งก่อการโดยกลุ่มยังเติร์กจนถูกจับ และหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้เข้าเข้าสู่กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ

พลเอกพัลลภ มีอุปนิสัยโหดเหี้ยม เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลด้าน ยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากฝนแห่งกระสุนปืนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คน เหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า “เหตุการณ์เศร้าสลดที่มัสยิดเกรือเซะ”

เมื่อต้นปีนี้ พลเอกพัลลภ อยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมือง อย่างเปิดเผย ในขบวนการ “โค่นล้มทักษิณ” ซึ่งมีอานุภาพเกรียงไกร พลเอกพัลลภกล่าวว่า “เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลอง (ซึ่งขับไล่ทักษิณ) แน่นอน” เขายังกล่าวอีกว่า “สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร”

ขณะที่พลเอกพัลลภ เรียกร้องว่าตนถูกใส่ร้ายอยู่นั้น คนจำนวนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับ "แผนการสังหารนายกรัฐมนตรี" กล่าวกันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจค้นบ้านของพลเอกพัลลภ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับระเบิดดังกล่าว

...ทักษิณ นั่งอยู่บนขอบเตียง โดยรู้สึกว่าสมองโล่งเปล่าซักสองสามวินาที ท่ามกลางความตกใจอย่างสุดขีด บางคราวก็รู้สึกชาและมึนงงเสมือนว่ากำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปและไม่คิดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป

การหลบหนี...ความทุกข์ทั้งมวลในจิตใต้สำนึกนั้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เพื่อปกป้องตนเองในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เขานั่งอยู่อย่างนิ่งเงียบเหมือนท่อนไม้โดยไม่ได้เปิดไฟ ห้องอันมืดสนิทปกคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร สำหรับการเจรจาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งได้บอกล่วงหน้าถึงพายุระลอกนี้ มาถึงตอนนี้ราวกับว่าคลื่นน้ำระลอกใหญ่ได้พัดผ่านโขดหินแล้ว ภาพเรื่องราวต่างๆ ได้ประติดประต่อและปรากฎตัวอย่างชัดเจนในหัวสมองของเขา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนเองได้ถูกหลอกแล้ว

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิฯ ผู้บัญชาการทหารบก หนึ่งครั้งที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ทักษิณทราบดีว่า เบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีชนชั้นหนึ่งที่มีบารมีและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งนั่นก็คือ กองทัพ ที่จะสามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดานายทหารที่ถือกระบอกปืนเหล่านี้ ดูเผินๆ เหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอิสระเหนือรัฐบาล แต่ที่แท้จริงแล้วแค่เพียงกระดิกนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียวก็สามารถที่จะขับเขาให้ตกจากที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งก็เหมือนกับเขาที่ล้วนแต่เป็นส่วนประกอบที่ขับความเด่นให้แก่ผู้มีอำนาจสูงสุด ซึ่งไม่แสดงตัวออกมา แต่ที่สิ่งที่เขากังวลกลับเป็นท่าทีของฝ่ายทหาร ฝ่ายทหารเคยชินกับการใช้วิธีการรัฐประหาร โดยขับไล่นายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่ถูกใจออกไป

การหารือในครั้งนี้เป็นเหตุมาจากการพิจารณารายชื่อการแต่งตั้งนายทหาร นับตั้งแต่มีข่าวว่าออกมาว่าฝ่ายทหารอาจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในวิกฤตการเมืองครั้งนี้ ทักษิณก็ได้มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าสุดท้ายสถานการณ์คงต้องพัฒนาไปเป็นการแย่งชิงอำนาจโดยมีกองทัพเป็นผู้บัญชาการ ใครที่สามารถควบคุมกองทัพได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ตามจากข่าวลือซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สื่อออกข่าวกันอย่างกว้างขวางนั้น ทำให้ในเดือนกันยายน

ทักษิณ ได้ใช้สิทธิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อนายทหารที่ฝึกอบรมในโรงเรียนนายทหาร ซึ่งสนับสนุนตนจำนวนร้อยกว่าคนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองพลที่หนึ่ง (ทักษิณ ยังได้พยายามที่จะเลื่อนตำแหน่งให้พลตรีพฤณฑ์ สุวรรณทัต ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง ที่ดูแลความสงบในเขตกรุงเทพฯ และต้องการให้ พลตรีดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ ซึ่งเป็นพันธมิตรมารับผิดชอบในกองพลทหารราบที่หนึ่งด้วย โดยแต่เดิมนั้น พลเอกพรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ก็เป็นคนของเขา ดังนั้น หากสามารถเปลี่ยนนายทหารระดับกลางและระดับสูงภายในกองทัพบกให้เป็นพวกตนได้ ก็สามารถมีอำนาจในการบังคับบัญชากองทัพที่ดูแลความสงบในกรุงเทพฯ ได้อย่างมั่นคง มีการพูดกันว่า เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ทักษิณมีเรื่องที่ผิดใจกันกับฝ่ายทหารและทำเนียบองคมนตรี) (อ้างจาก Hawn W Crispin Asia Times Online วันที่ 21 กันยายน 2006)

พลเอกสนธิ อายุมากกว่าทักษิณ 4 ปี เกิดในครอบครัวมุสลิม บริเวณใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ โดยบรรพบุรุษได้เคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย ตัวพลเอกสนธิ เองจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ ซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย หลังจากเข้าร่วมในสงครามเวียดนามก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

เคยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารราบสงครามพิเศษ โดยได้รับการแต่งตั้งจากทักษิณให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งทำให้บุคคลมากมายต่างพากันตกใจ เนื่องจากบรรดาทหารในกองทัพไทยส่วนใหญ่จะเป็นชาวพุทธ พลเอกสนธิ นับเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรก ที่เป็นชาวมุสลิม

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า เหตุผลหลักที่ทำให้ทักษิณเลือกพลเอกสนธิเนื่องจากต้องการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การรบในสนามรบที่ช่ำชองและลัทธิ ความเชื่อของมุสลิมเพื่อแก้ปัญหาชาวมุสลิมที่ก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทยซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ดูจากภายนอกแล้ว พลเอกสนธิดูไม่เหมือนผู้ที่จะวางแผนทรยศโดยลุกขึ้นมาก่อ การรัฐประหาร ทั้งภาพลักษณ์และการพูดจาของนายทหารระดับมืออาชีพท่านนี้ล้วนแต่แสดงออกถึงบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยน แม้ตอนถอดชุดทหารแล้วก็กลับดูเหมือนศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย

“คุณคิดจะก่อรัฐประหารโค่นล้มผมหรือเปล่า” ทักษิณถามอย่างตรงไปตรงมา

“จะเป็นไปได้อย่างไร ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก” พลเอกสนธิตอบด้วยเสียงเบาๆ ตามปกติ ระหว่างที่เขาพูดนั้น สายตาเขามักจะมองก้มลงโดยไม่รู้ตัว และกวาดตามองเป็นครั้งคราว เหมือนกับแมลงปอบินระน้ำ น้ำเสียงก็ค่อนข้างแผ่วเบา น้ำเสียงอยู่ในโทนเดียวตลอด คำพูดที่ออกมาจากปากเขาไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่แสดงถึงความสนิทคุ้นเคยหรือคำพูดที่น่ากลัวก็ล้วนแต่พูดออกมาอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน

นี่ไม่ใช่ผู้ที่กระหายในเลือด เมื่อเขาได้รับภารกิจให้แก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย เขาได้กล่าวว่า “แม้จะต้องมีการปะทะกันทางวาจาระหว่างเจรจา ก็จะไม่ใช้กำลังอาวุธมามาสงบสถานการณ์” สำหรับข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนั้น เขาได้เปิดเผยท่าทีว่า “ฝ่ายทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว การก่อรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัยอย่างมาก” แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองแย่ลง เขาก็ได้เคยกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่า “ในฐานะที่เป็นนักรบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเราอยากที่จะช่วยพระองค์ในการขจัดความกังวลและ ความทุกข์ยากทั้งปวง ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระองค์อย่างเคร่งครัด”

ทักษิณ ถอนหายใจ เขาไม่สามารถจะแน่ใจได้ว่าคำสัญญาของพลเอกสนธินั้นเชื่อถือได้เพียงใด “คุณต้องจำไว้ว่า ผมเป็นคนที่แต่งตั้งคุณเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมสนับสนุนคุณ ก็เพราะหวังให้คุณทุ่มเทกำลังในการแก้ปัญหาภาคใต้ คุณอย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง ขอให้สัญญากับผมด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของคุณและความเป็นพี่น้องว่าคุณจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องการเมือง หากคุณสัญญา ผมจะขยายระยะเวลาให้คุณอยู่ในตำแหน่งนานขึ้นอีก 1 ปี”

“ผมสัญญา” คำตอบที่สั้นแต่หนักแน่น พลเอกสนธิยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ และจับมือกับทักษิณ โค้งคำนับ 1 ครั้ง และเดินออกไป การหารืออันเต็มไปเสียงฟ้าอึมครึ้มที่เป็นลางบอกถึงฝนที่กำลังจะตกนั้นก็ได้สิ้นสุดลง

บัดนี้ เรื่องราวได้เป็นที่กระจ่างแล้วว่า พลเอกสนธิได้หลอกเขา ทรยศเขา ในสุดท้ายทักษิณก็ได้ประจักษ์ถึงความจริง ภายใต้ภาพลักษณ์อันสุภาพอ่อนโยนของผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ ได้ซ่อนจิตใจอันเด็ดเดี่ยวที่สุด มีความสามารถแบกรับภาระกิจอันยากลำบากและกล้าตัดสินใจด้วยความกล้าหาญเป็นที่สุด รวมทั้งในการกระทำทุกอย่างก็ยอมเสียสละอย่างถึงที่สุดด้วย นายทหารเก่าที่เคยร่วมรบสงครามเวียดนามท่านนี้ นายพลที่กล่าวไว้หลายครั้งว่าไม่คิดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองท่านนี้ นายทหารไทยที่เงียบๆ ไม่ค่อยเป็นข่าวท่านนี้ ภายในระยะเวลาเพียงคืนเดียวเขากลับทำให้คนทั้งโลกจำเขาได้อย่างแม่นยำ

ที่น่าแปลกก็คือ ในการเจรจาที่ไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเป็นพยานนั้น เรื่องที่ผ่านการถ่ายทอดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกคนกลับแตกต่างกันราวกับเป็นเรื่องราโชมอนอีกต้นฉบับหนึ่ง เมื่อพลเอกสนธิให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากนั้น ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนที่หารือกับทักษิณว่า

“ตอนนั้นท่านทักษิณถามผมว่า คุณจะก่อการรัฐประหารหรือไม่ ผมก็ตอบไปอย่างชัดเจนว่า ผมจะทำ ผมไม่เสียใจที่ตอบไปเช่นนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะตอบท่านเช่นเดิม”

พลเอกสนธิ ยังกล่าวอีกว่าระหว่างเขากับผู้มีบุญคุณที่แต่งตั้งเขาขึ้นมานั้นแทบจะไม่มี “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ระหว่างกัน ก่อนเกิดการรัฐประหาร มีครั้งหนึ่งเขาได้ตามทักษิณไปเยือนประเทศพม่า มีคนเตือนให้เขาระมัดระวัง ดังนั้น เขาจึงได้สั่งให้ลูกน้องพกปืนไปด้วย โดยส่วนตัวเขาเองได้นั่งตรงข้างประตูเครื่องบิน “เพื่อจะได้จัดการกับเรื่องฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที”

สุดท้ายแล้วไม่ทราบว่าใครที่โกหก สมมุติว่าเป็นจริงดังเช่นที่พลเอกสนธิเล่าว่าเขาได้พูดต่อหน้าทักษิณว่า “ผมจะโค่นล้มคุณ” ถ้าเป็นเช่นนั้น ทักษิณก็ต้องรีบจัดการโต้ตอบในทันทีถึงจะถูก ทักษิณก็ควรรีบจัดการคนที่เป็นอันตรายต่ออำนาจทางการเมืองในปัจจุบันของเขาโดยการปลดออกจากตำแหน่งและลงโทษทางวินัยในทันที

แต่ทว่า ทักษิณกลับไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นกลับแกล้งเป็นหูหนวกตาบอดเหมือนไม่มีอะไร ไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น นั่งรอให้ศัตรูมาทำร้ายตนเองจนถึงแก่ความพ่ายแพ้ ปฏิกริยาตอบสนองเช่นนี้ออกจะแปลกประหลาดเกินไปกระมัง

...หลังจากได้ฟังโทรศัพท์จากภรรยา ทักษิณก็นิ่งอึ้งไป

ราวกับว่าเวลายาวผ่านไปนานหมื่นกว่าปี ทั้งที่จริงๆ แล้วผ่านไปเพียงแค่สิบกว่าวินาที ทันใดนั้นเขาก็มีสติกลับมาโดยรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาบุคคลคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายข่าวกรอง ฝ่ายทหาร รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรมตำรวจ ข้าราชการผู้ใหญ่ตามพื้นที่ เป็นรายชื่อที่ยาวมาก แม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ทราบได้โทรศัพท์ไปทั้งหมดกี่ครั้งภายในสองชั่วโมงกว่า

ณ ขณะนี้สิ่งที่ทักษิณต้องการอย่างเร่งด่วนก็คือต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าว่าข่าวที่ตนได้จากภรรยานั้นเป็นความจริงหรือไม่โดยสอบถามจากบุคคลหลายๆคน แต่คำตอบที่ได้นั้นช่างน่างงงวย บางคนบอกว่าเป็นเรื่องจริง บางคนกลับบอกว่าเป็นข่าวลือ บางคนก็ไม่ทราบอะไรเลย บรรดาสมาชิกคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลทักษิณต่างแทบจะรู้เรื่องเมื่อนาทีที่เกิดการรัฐประหารขึ้นกันทั้งนั้น ส่วนฝ่ายข่าวกรองของรัฐบาลนั้น ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่ได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือใดๆ เลย

…ความรู้สึกกระสับกระส่ายได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา

เขารู้สึกเสียใจที่ได้คาดการณ์ผิดอย่างมาก การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Tele -Conference เมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว ผู้บัญชาการทหารบก เรือ และอากาศ ล้วนไม่ได้เข้าร่วมประชุม ผู้ใดก็ตามที่มีไวต่อความรู้สึก ย่อมต้องรู้สึกได้ว่ามันเป็นสัญญาณบอกถึงความผิดปกติ แน่นอนว่าเขาได้สังเกตเห็นแล้ว แต่ทว่ากลับเพิกเฉยมิได้สนใจ อีกทั้งยังเข้านอนอย่างไม่ได้ตะขิดตะขวงใจเลย

สิ่งนี้เป็นความผิดที่ยากจะอภัยได้อย่างยิ่ง

ทักษิณถือโทรศัพท์เดินไปมาในห้อง เขาได้สั่งให้ พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในประเทศไทย รีบควบคุมสถานการณ์ เขายังได้ติดต่อกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในกรุงปารีส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกับเขา

เขาพบว่ารัฐมนตรีกระทรวงที่สำคัญของไทยหลายท่าน ล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศในขณะนั้น

ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังร่วมงานนิทรรศการวัฒนธรรมไทย-ฝรั่งเศสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธาน ณ กรุงปารีส

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังพักร้อนอยู่กับครอบครัวที่ประเทศฝรั่งเศส

พลอากาศเอกคงศักดิ์ วันทนา ประธานกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้บินจากกรุงเทพฯ ไปประเทศเยอรมนีแล้ว

ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ไปติดตามเขาไปประชุมที่กรุงนิวยอร์ก

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมประชุมประจำปีของธนาคารโลก ที่ประเทศสิงคโปร์

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็อยู่ที่กรุงปารีสเช่นเดียวกัน

แล้วเขาก็คิดขึ้นมาทันที ถึงคำเตือนของหมอดู ที่ได้โทรมาเตือนเขาเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ให้ระมัดระวัง ศัตรูกำลังคิดจะโจมตีท่าน แต่ว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายท่านให้บาดเจ็บ”

คำทำนายอันโชคร้ายนี้ ช่างแม่นยำจริงๆ ศัตรูไม่มีทางทำร้ายเขาได้ และก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขาด้วย พวกนั้นต้องการที่จะขับไล่เขาออกนอกประเทศ เพราะการขังนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่รักของประชาชนผู้ยากไร้ไว้ในประเทศรังแต่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย

ในขณะนี้ ทักษิณพร้อมที่จะสู้แต่ไม่มีกำลังและอำนาจก็ครอบคลุมไปไม่ถึง ดูตามรูปการณ์แล้ว เรื่องราวทั้งหมดได้ผ่านการวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฝ่ายทหารได้เลือกห้วงเวลาที่เหมาะสมแล้วจริงๆ เขาคิด นอกจากจะเลือกเวลาที่เหมาะสมแล้ว ยังกล้าที่จะเสี่ยงทำความผิดอันใหญ่หลวง โดยกลับไปเดินเส้นทางเก่าเมื่อ 73 ปีก่อน ในยุคศตวรรษที่ 21 อีกด้วย

...ความคิดล้มล้างทักษิณโดยการรัฐประหารทางทหารกำลังดำเนินการต่อไป

วันที่ 19 กันยายน 2550 เวลา 18.30 น. กรุงเทพมหานคร มีข่าวว่า 4 หน่วยรบพิเศษจากภาคตะวันออก 4 จังหวัดของไทยกำลังทำการรวมกำลังพล ภายหลังการตรวจสอบแล้ว พบว่ากองกำลังทั้ง 4 หน่วยคือกรมทหารราบที่ 31 กรมทหารม้าที่ 23 กรมทหารม้าที่ 24 และกองพลที่ 2 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังสำคัญจากกองทัพภาคที่ 3 และกองทัพภาคที่ 5

ในคืนวันเดียวกันนั้น กองกำลังเหล่านี้พร้อมอาวุธครบมือได้เข้ามาทำการคุมสถานการณ์ด้านทิศตะวันออกและเหนือรอบ กทม. เป็นบริเวณ 100 กม. การที่กองกำลังพิเศษที่ประจำการอยู่ที่ จ. ลพบุรีไม่ได้เดินทางกลับค่ายทหารหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการฝึก เป็นการแสดงออกถึงอาการที่น่าเคลือบแคลงใจ เพราะว่าจุดหมายการเดินทางของกองกำลังพิเศษ จ. ลพบุรีและกองกำลังรถหุ้มเกราะตอบโต้เร็วและกรมทหารราบที่ 9 จังหวัด กาญจนบุรี นั้นล้วนมุ่งมาที่ กทม. โดยที่จังหวัดทั้งสอง (กาญจนบุรี และลพบุรี) ล้วนห่างจะกรุงเทพฯ เป็นเวลาเพียง 2 ชั่วโมง

ในเวลาเดียวกันนั้น มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า...ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์...ทำให้นักวิเคราะห์ล้วนคิดว่า พล.อ. เปรม ผู้ซึ่งมีฉายาว่า "เพชรฆาตแม่น้ำเจ้าพระยา" คือ ค้นคิดผู้บงการการรัฐประหารอย่างลับ ๆ


ข้อมูลและภาพประกอบจาก

0 ความคิดเห็น:

search

search this site the web
search engine by freefind

ฝากไฟล์

YOUR IP